ม.แม่โจ้ อบรม AUN-QA Implement and GAP Analysis เตรียมพร้อมประกันคุณภาพการศึกษาระบบสากล

เมื่อวันที่ 29 มี.ค.67 กองพัฒนาคุณภาพ สำนักงานมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ AUN-QA Implement and GAP Analysis   เพื่อเตรียมพร้อมการประกันคุณภาพการศึกษาระดับสากล ตามเกณฑ์ AUN-QA ให้กับอาจารย์ประจำหลักสูตรทุกหลักสูตร โดยได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์จารย์ ดร.ปรีดา  ศรีนฤวรรณ  รก.ผู้ช่วยอธิการบดี เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรม โอกาสนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร ชุติมาสกุล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี   ให้เกียรติเป็นวิทยากรให้ความรู้และจัดกิจกรรม work shop ซึ่งมีอาจารย์ประจำหลักสูตร จำนวน 140 คน เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้  ณ ห้องประชุมแคทลียาควีนสิริกิตติ์ อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์(ศูนย์กล้วยไม้และไม้ดอกไม้ประดับ) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์จารย์ ดร.ปรีดา  ศรีนฤวรรณ  รก.ผู้ช่วยอธิการบดี  กล่าวว่า มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้จัดทำการประเมินคุณภาพการศึกษา ตามเกณฑ์ AUN-QA ซึ่งเป็นระบบการรับรองคุณภาพและมาตรฐานระดับหลักสูตร เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศใน ระดับสากล  เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ของการเรียนรู้ (Expected Learning Outcomes) ไปสู่ผลลัพธ์ (Outcome-based Education) โดยมีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered) 

การอบรมในครั้งนี้จึงเป็นการทบทวนความรู้ความเข้าใจ้ในเกณฑ์ AUN-QA นำกรอบแนวคิดของเกณฑ์ AUN-QA V.4 ไปพัฒนาศักยภาพของหลักสูตร ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ประเด็นสอดคล้องกันระหว่าง PLOs โครงสร้างหลักสูตรและรายวิชาเรียน กระบวนการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผล อีกทั้งยังเป็นการทบทวนแนวทางการนำเสนอ การเขียนรายงานการประเมินตนเอง ตามแนวทางของ AUN-QA  ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญหลักที่จะผลักดันการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยให้สามารถยกระดับคุณภาพสู่มาตรฐานสากลและก้าวสู่ความเป็นนานาชาติได้ 

“นายกฯ” เผย ครม.อนุมัติงบอุดหนุนค่าอาหารกลางวันนักเรียน ม.1-3 รร.ขยายโอกาสทางการศึกษา

วันที่ 26 มี.ค.67 ที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง  ให้สัมภาษณ์ถึงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณอุดหนุนค่าอาหารกลางวันนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 -3 ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา และให้กระทรวงศึกษาธิการรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของหน่วยงานไปพิจารณาต่อไป

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ครม.อนุมัติการขอรับจัดสรรงบประมาณสำหรับการจ้างเหมาบริการนักการภารโรง และเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอเฉพาะปี 2568 โดยให้กระทรวงศึกษาธิการใช้งบประมาณในการจ้างให้โปร่งใสและมีประสิทธิภาพสำหรับระยะต่อไป รวมถึงให้กระทรวงศึกษาธิการนำเทคโนโลยี เช่น กล้องวงจรปิดมามาดูแลความปลอดภัยแทน การเพิ่มกำลังคนสืบเนื่องมาจากการยกเลิกเวรครู จึงต้องมีอย่างอื่นมาทดแทน

#กระทรวงศึกษาธิการ #ค่าอาหารกลางวัน #การศึกษา #ข่าววันนี้ 

 

สนค.เสนอมุมมองการศึกษาไทย เพื่อตอบโจทย์การค้าและการลงทุน

สนค.เสนอมุมมองการศึกษาไทย เพื่อตอบโจทย์การค้าและการลงทุน

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า จากการค้าและการลงทุนในปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้แรงงานจำเป็นต้องอาศัยทักษะและกระบวนการคิดที่ตอบสนองต่อตลาดแรงงานในปัจจุบัน ซึ่งในส่วนของภาคการค้าและการลงทุน มีเสียงสะท้อนที่เรียกร้องให้มีการปรับปรุงระบบการศึกษา เพื่อให้ประเทศสามารถผลิตแรงงานที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการแต่ละภาคส่วนได้อย่างเต็มที่ ขณะที่บางส่วนมองว่าแรงงานของไทยยังมีจำนวนที่ไม่เพียงพอในบางอุตสาหกรรม ผลสำรวจความต้องการแรงงานในโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ปี 2565 พบว่า มีภาวะขาดแคลนแรงงานฝีมือโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องจักรและยานยนต์ และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมกันมากถึง 12,000 ตำแหน่ง แม้ว่าในรายงานการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยของ IMD ปี 2566 จะแสดงให้เห็นถึงคะแนนในด้านอัตราการเติบโตของกำลังแรงงานในระยะยาวที่ดีขึ้น แต่มีการระบุความเสี่ยงว่าไทยอาจประสบปัญหาแรงงานทักษะที่ไม่เพียงพอในภาคบริการ ในขณะที่คู่แข่งด้านการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศต่างเร่งการพัฒนาด้านแรงงานทั้งในแง่ของจำนวนและคุณภาพ ซึ่งในอนาคตอาจทำให้การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศของไทยทำได้ยากขึ้น และเป็นความท้าทายที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้เมื่อย้อนดูคุณภาพการศึกษาของไทยซึ่งเป็นต้นทางการผลิตแรงงาน จากผลการประเมินสมรรถนะของนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ในแต่ละประเทศซึ่งจัดทำโดย OECD ประจำปี 2565 พบว่า คะแนนของเด็กไทยต่ำลงในทุกหมวด ทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน และหากเทียบเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ระดับคะแนนของไทยยังต่ำกว่าสิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย ทั้งยังมีทิศทางที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวิเคราะห์ปัญหาของระบบการศึกษาไทย จะพบคุณลักษณะสำคัญคือ การผลิตบุคลากรที่ไม่ตรง หรือไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด เกิดขึ้นจากค่านิยมที่ให้ความสำคัญกับการเข้าศึกษาในสายสามัญมากกว่าสายอาชีวะ ประกอบกับภาพลักษณ์ในเชิงลบที่มีต่อผู้เรียนในสายอาชีวะ ทำให้ความต้องการศึกษาในสายอาชีวะลดลง ส่งผลให้ไทยขาดแคลนแรงงานในสายอาชีวะจำนวนมาก ไม่สามารถรองรับการขยายตัวของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามายังประเทศไทย รวมถึงมีความเสี่ยงที่อาจขาดแคลนแรงงานบางสาขาในอนาคต ตลอดจนขาดการยกระดับบุคลากรการศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจการใช้เทคโนโลยีในการสอนให้เพิ่มสูงขึ้น โดยผลการศึกษาของสมาคมนานาชาติที่ทำหน้าที่ประเมินผลด้านการศึกษา ซึ่งเป็นโครงการศึกษาภายใต้การดำเนินงานของสหประชาชาติ หรือ ICILS พบว่า สัดส่วนของครูที่มีการใช้อุปกรณ์ ICT ในห้องเรียนของไทย อยู่ที่ร้อยละ 51 ของจำนวนครูทั้งประเทศ ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวของไทยอยู่ต่ำกว่าเกาหลีใต้ (ร้อยละ 76) ฮ่องกง (ร้อยละ 79) และออสเตรเลีย (ร้อยละ 90) 

โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาในระบบการศึกษาไทย ส่งผลต่อการค้าและการลงทุนที่เกิดขึ้นมีดังนี้ (1) ขาดแรงงานทักษะใหม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2565 พบว่า ไทยมีผู้ทำงานจริงเพียง 39.6 ล้านคน จากประชากร 66.1 ล้านคน ขณะที่ผลสำรวจด้านแรงงานของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในปี 2565 พบว่า ไทยยังขาดแคลนแรงงานภาคอุตสาหกรรมในทุกระดับการศึกษา โดยผลสำรวจด้านแรงงานจากผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน พบว่า มีความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรม จำนวนทั้งสิ้น 168,992 คน แบ่งออกเป็นความต้องการแรงงานในระดับปริญญาตรีขึ้นไป 29,037 คน ระดับ ปวช.-ปวส. 38,079 คน ระดับ ป.6-ม.6 96,786 คน และอื่น ๆ อีก 5,090 คน สะท้อนว่าระบบการศึกษาของไทยยังพัฒนาแรงงานได้น้อยกว่าความต้องการของตลาดอยู่มากพอสมควร (2) ผู้ประกอบการต่างชาติเผชิญระดับค่าแรงสูงในสายงานที่ขาดแคลน มีการแย่งตัวแรงงานด้วยการแข่งขันด้านค่าแรง ทำให้ต้นทุนการประกอบการสูงขึ้น และอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีจำนวนแรงงานในสายงานที่เกี่ยวข้องมากกว่า (3) แรงงานที่มีลักษณะการทำงานซ้ำๆ อาจถูกแทนที่ด้วยระบบการทำงานอัตโนมัติ และอาจส่งผลให้ตัวเลขการจ้างงานรวมของประเทศลดลง และ (4) การศึกษาที่ขาดคุณภาพส่งผลต่อปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพราะมีผลิตภาพต่ำ และมีทักษะที่ไม่หลากหลาย ทางเลือกในการประกอบอาชีพจึงมีน้อย เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

นายพูนพงษ์ฯ กล่าวต่อว่า การศึกษานับเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ เพราะเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ในระยะยาว ทั้งยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาพอสมควร ไม่สามารถสร้างหรือปรับเปลี่ยนได้ในเวลาอันสั้น ควรต้องเร่งพัฒนาการศึกษาตั้งแต่วันนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมในประเทศ ผ่านแนวทางในการพัฒนาดังต่อไปนี้ (1) สำรวจความต้องการของอุตสาหกรรม ว่ามีความต้องการในแต่ละสาขามากน้อยแตกต่างกันอย่างไร อุตสาหกรรมใดที่จะเป็นอนาคต และคำนวณระดับความต้องการเพื่อนำไปออกแบบหลักสูตรส่งเสริมผู้เรียนต่อไป (2) เพิ่มกิจกรรมการเรียนรู้และปฏิบัติการนอกห้องเรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจภาพรวมของการทำงาน และเลือกเรียนทักษะให้ตรงกับวัตถุประสงค์ในการพัฒนาตนเองต่อไปได้อย่างถูกต้อง (3) พัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้พร้อมถ่ายทอดทักษะใหม่ โดยผู้ถ่ายทอดต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง และต้องเข้าใจการประยุกต์ใช้ในเชิงธุรกิจ จึงจะพัฒนาผู้เรียนได้อย่างถูกต้องและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในเชิงพาณิชย์ 

(4) เพิ่มระดับการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการพัฒนา เพื่อให้นโยบายและการปฏิบัติสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน (5) สถาบันการศึกษาทั้งระดับมหาวิทยาลัยและอาชีวะ  ต้องมีหลักสูตรการสอนเพื่อสร้างทักษะให้สอดคล้องกับความต้องการในเศรษฐกิจยุคดิจิทัล หรือ Smart Labor จึงจะสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัจจุบันเข้ากับการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างผลิตภาพและทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้โดยไม่สูญเสียคุณค่าความสำคัญ และ (6) ปรับทัศนคติและคุณภาพของการศึกษาในสายอาชีพ แม้ที่ผ่านมาไทยจะสามารถยกระดับของอาชีวศึกษาจนประสบความสำเร็จแล้วผ่านความสำเร็จในโครงการ EEC Type A Model ซึ่งส่งเสริมให้แรงงานสายอาชีวะจากสถาบันการศึกษา สามารถพัฒนาตนเองจนกลายเป็นแรงงานคุณภาพที่มีระดับรายได้สูง แต่มุมมองที่มีต่อสถาบันอาชีวศึกษา กลับพบว่าสังคมยังมีทัศนคติในเชิงลบ ส่งผลให้ผู้ปกครองหรือผู้เรียนไม่ให้ความสนใจเข้าศึกษาในสายอาชีพ ซึ่งจำเป็นต้องปรับปรุงภาพลักษณ์อย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างทัศนคติและคุณภาพที่ดีในการศึกษาสายอาชีวะ เพิ่มจำนวนผู้เรียนเพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมในอนาคต 

 

“เพิ่มพูน” ยันปัญหาการศึกษาเป็นความท้าทาย ชูเรียน-สอนแบบไฮบริด เปิดโอกาสเข้าถึงง่ายขึ้น

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 5 ม.ค.2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน3.48ล้านล้านบาท วาระแรก ต่อเนื่องเป็นวันที่3 โดยพล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ชี้แจงงบฯในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการว่า งบฯกระทรวงศึกษาฯ ที่ได้รับการจัดสรร 5 ปีย้อนหลัง มีแนวโน้มลดลง แต่ในปีนี้รัฐบาลได้ปรับเพิ่มงบฯให้กระทรวงศึกษาฯ ประมาณ0.31เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้งบฯกระทรวงศึกษาฯ ส่วนใหญ่จะไปอยู่ที่งบฯบุคลากร และงบฯอุดหนุน ขณะที่งบฯลงทุน และค่าใช้จ่ายอื่นๆถือมีจำนวนน้อยกว่า

รมว.ศึกษาฯ กล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาต่างๆทางด้านศึกษา ทั้ง ปัญหาความเสมอภาคทางการศึกษา , ผลคะแนน PISA ที่ลดลง,ทักษะความสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษ ,โรงเรียนขนาดเล็กมีจำนวนมากขึ้น , ครูไม่ครบชั้น ,สวัสดิการของบุคลากร,งบประมาณอาหารกลางวันและอาหารเสริมไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ , เด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษา,โครงการอาชีวะเรียนฟรียังไม่ครอบคลุมและความคาดหวังของสังคมต่อการศึกษาไทย ถือว่าเป็นความท้าทายในปัจจุบัน แต่กระทรวงศึกษาฯ ได้จัดทำงบประมาณตั้งเป้าหมายลดภาระครู บุคลากรทางการศึกษา นักเรียน และผู้ปกครอง โดยการทำโครงการเรียนดีมีความสุข เรียนได้ทุกเวลา ทำการเรียนการสอนแบบไฮบริด เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ขณะเดียวกันทางกระทรวงศึกษาฯอาจนำระบบสอบเทียบกลับมาใช้อีกครั้งด้วย

“เชื่อมั่นว่านโยบายด้านการศึกษาที่รัฐบาลชุดนี้ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา จะช่วยสร้างโอกาสความเสมอภาคทางการศึกษาแก่ผู้เรียนทุกช่วงวัย ตั้งใจจะทำให้โครงการมีความสำเร็จตามเป้าหมาย ก็ขอให้สภาผู้แทนราษฎรสนับสนุนร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 เพื่อให้กระทรวงศึกษาฯ สามารถขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ครูนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบการศึกษาของประเทศ” พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าว

“นักวิชาการ”ชี้ ผอ.โรงเรียนต้องมีภาวะผู้นำทางวิชาการ ใช้งานวิจัยและข้อมูลเป็นฐาน แก้ปัญหากล่องดำการศึกษาในไทย

ผู้อำนวยการโรงเรียน ในฐานะ “กล่องดำทางการศึกษา” ในประเทศไทย ปัจจุบันได้ประสบกับปัญหาการปรับตัวเพื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ในโรงเรียนที่มีบริบทต่างกัน และความซับซ้อนของงานที่ต้องทำหน้าที่ทั้งการเป็นครู และการเป็นผู้บริหารโรงเรียน ซึ่งแนวทางแก้ไขปัญหาคือกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนนโยบาย ทำให้ผู้บริหารได้มีภาวะผู้นำทางวิชาการ เริ่มต้นจากระบบการคัดเลือกที่ต้องตอบโจทย์ และสอดคล้องกับการเลื่อนวิทยฐานะ รวมถึงต้องทำให้สังคมเห็นความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรด้านการศึกษา ใช้งานวิจัยและข้อมูลเป็นฐานให้มากขึ้น เพื่อช่วยตัดสินใจในการวางนโยบายต่อไปในอนาคต

รศ.ดร.ธีรภัทร กุโลภาส อาจารย์ประจำสาขาวิชาบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวในการเสวนาหัวข้อ “นโยบายปฏิรูปการศึกษา จากกระทรวงสู่ห้องเรียน” ซึ่งจัดขึ้นในงานเปิดตัว www.Thailandleadership.org เว็บไซต์พัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นำของ ผอ.โรงเรียน ว่าปัญหากล่องดำทางการศึกษาเกิดจาก 2 เรื่องสำคัญ คือ 1) ผู้บริหารการศึกษาเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งผู้บริหารคนเดียวกัน เมื่อย้ายไปโรงเรียนที่มีบริบทที่แตกต่างกัน จะต้องปรับตัวเองค่อนข้างมากเพื่อให้เข้ากับบริบทนั้น เนื่องจากทฤษฎีภาวะผู้นำต่างๆ ซึ่งถูกนำมาใช้ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา เป็นทฤษฎีซึ่งมีรากฐานจากทฤษฎีเชิงสถานการณ์ หมายความว่าผู้บริหารงานจะทำงานได้สำเร็จมากน้อยเพียงใด จะมาจากสถาน การณ์หรือบริบทของแต่ละคน ที่จะต้องไปบริหารจัดการให้ประสบความสำเร็จ 2) เกิดจากความซับซ้อนของงาน จากเดิมที่เคยทำหน้าที่ครู ดูแลห้องเรียน ซึ่งถือเป็นงานที่ยากและท้าทาย เมื่อขึ้นมาเป็นผู้บริหารยังมีงานต่างๆ ที่ยากและท้าทายอีกมากมาย โดยเฉพาะการบริหารบุคคล หากมีจำนวนครูมากปัญหาจะมากขึ้น รวมถึงปัญหาอื่นๆ ในโรงเรียนที่ต้องแก้ไข อาทิ ปัญหางบประมาณ การรับมือกับผู้ปกครอง ความต้องการของชุมชนที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ยังจะต้องหาเวลาในการพัฒนาตนเอง พัฒนาครู และพัฒนาคุณภาพการศึกษา ปัญหาความซับซ้อนเหล่านี้ ถือเป็นกล่องดำที่ผู้บริหารแต่ละคน จะต้องบริหารจัดการเพื่อให้การทำงานประสบความสำเร็จ

รศ.ดร.ธีรภัทร มองว่าแนวทางการแก้ไขปัญหา คือทางกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนนโยบาย ที่จะทำให้ผู้บริหารมีภาวะผู้นำทางวิชาการเป็นจริงขึ้นมา โดยเริ่มต้นจากระบบการคัดเลือกต้องตอบโจทย์ตั้งแต่ต้น ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ หลายคนมีความเห็นพ้องเรื่องนี้ และพยายามขับเคลื่อนปรับเปลี่ยนนโยบายการคัดเลือกผู้บริหาร รวมทั้งให้สอดคล้องกับการเลื่อนวิทยฐานะด้วย

“ที่ผ่านมาเกณฑ์การคัดเลือกจะอนุญาตให้ครูที่ไม่มีวิทยฐานะเข้ามาเป็นผู้บริหารได้ แต่มาตรฐานวิชาชีพผู้บริหารตามเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะแบบใหม่ (วPA) กำหนดให้ผู้ที่จัดเป็นผู้บริหารต้องมีวิทยฐานะครูชำนาญการขึ้นไป และหวังว่าในอนาคตจะผลักดันคุณสมบัตินี้ให้เข้มข้น หมายความว่าเราอยากจะได้ครูชำนาญการพิเศษ ที่มีความเชี่ยวชาญจริงๆ ขึ้นมาเป็นผู้บริหาร โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีความต้องการที่แตกต่าง” รศ.ดร.ธีรภัทร กล่าวและว่า

นอกจากนี้ทางกระทรวงศึกษาธิการจะต้องร่วมมือกับองค์กรภายใน และองค์กรภายนอก รวมถึงองค์กรไม่แสวงหากำไรอย่างมูลนิธิเอเชีย ในการทำให้สังคมเห็นความสำคัญของเรื่องการพัฒนาบุคลากรทางด้านการศึกษา ให้มีความพร้อมในการขึ้นมาเป็นผู้บริหาร ว่าจะต้องทำอย่างไรให้สามารถทำงานให้ประสบความสำเร็จได้ในบริบทต่างๆ กระทรวงศึกษาธิการควรวางนโยบายโดยการใช้งานวิจัยและข้อมูล (Data) มากขึ้น โดยปัญหากล่องดำเกิดจากเหตุผลหนึ่ง คือเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“เมื่อมีความพยายามผลักดันนโยบาย โดยใช้ข้อมูลเป็นฐานมากขึ้น เช่น การคัดเลือกผู้บริหารปัจจุบันถ้าเราเห็นพัฒนาการของครูที่ตั้งใจจะเข้ามาเป็นผู้บริหาร เราสามารถเก็บข้อมูลเขาตั้งแต่เริ่มเข้ามาเป็นอาชีพครูแล้ว นโยบายการย้ายผู้บริหารก็ดี ถ้าเราเก็บข้อมูลดีๆ เป็นฐาน มันจะทำให้แต่ละนโยบายที่จะวาง สอดรับกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงต่อไปในอนาคต ขณะเดียวกันองค์กรที่เกี่ยวข้อง ควรพยายามพัฒนาดิจิตอลแพลตฟอร์มต่างๆ และใช้ข้อมูลในการช่วยตัดสินใจในการวางนโยบายในอนาคตด้วย” รศ.ดร.ธีรภัทร กล่าวในตอนท้าย

สำหรับเว็บไซต์ Thailand Leadership จัดทำขึ้นโดยมูลนิธิเอเชีย ภายใต้ความร่วมมือของทางกระทรวงศึกษาธิการ, กรุงเทพมหานคร, สถานทูตออสเตรเลีย และเหล่าพันธมิตร มีที่มาจากโครงการวิจัยเรื่องจากความท้าทายสู่คุณภาพการศึกษาของประเทศไทย : กฎระเบียบ การบริหารทรัพยากร และความเป็นผู้นำ ในปี พ.ศ.2561-2564 ที่ได้มุ่งเน้นศึกษาโครงสร้างและบทบาทของ “ตัวกลาง” ระหว่าง “ผู้กำหนดนโยบายการศึกษาของชาติ” และ “ผลผลิตทางการศึกษา” นั่นคือ “ผู้อำนวยการสถานศึกษา” ในฐานะ “กล่องดำทางการศึกษา” หรือ “แกนหลักผู้สื่อสารถ่ายทอดนโยบาย” บทสรุปที่ได้คือผู้อำนวยการโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ที่จะต้องมีบทบาทเป็นผู้นำทางวิชาการ ซึ่ง ผอ.โรงเรียนและผู้ที่สนใจ สามารถเข้าไปใช้บริการได้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่ www.Thailandleadership.org ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

"ซีอีโอเครือซีพี" ชงโมเดล SI-Sustainable Intelligence พลิกโฉมการศึกษาไทยจาก 2.0 เป็น 5.0 หนุนเด็กทุกคนมีคอมพิวเตอร์

ซีอีโอเครือซีพี เสนอโมเดล SI-Sustainable Intelligence พลิกโฉมการศึกษาไทยจาก 2.0 เป็น 5.0 หนุนเด็กทุกคนต้องมีคอมพิวเตอร์-สร้างการเรียนรู้แบบ Learning Center เน้นทักษะดิจิทัลขั้นสูง มุ่งทรานส์ฟอร์มประเทศรับความท้าทายในอนาคต  

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) แสดงวิสัยทัศน์ในเรื่อง The Future of Education พลิกโฉมการศึกษาไทยเท่าทันอนาคต ภายในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2023 FUTURE READY THAILAND รวมผู้นำระดับโลกและไทยจากทุกภาคส่วน จัดโดยสำนักข่าว THE STANDARD ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ  

นายศุภชัย ได้ฉายภาพรวมความท้าทายของโลกและเมกะเทรนด์ปี 2023 - 2030 พร้อมกล่าวว่า เด็กรุ่นใหม่ในยุคนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายของโลกในหลายด้าน เราต้องปรับตัวให้ทันและต้องให้ความสำคัญกับการผลักดันนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลมากขึ้น เพราะเราหยุดความก้าวหน้าของโลกไม่ได้ แม้ว่าในตอนนี้โลกอยู่ในยุค 4.0  ซึ่งเป็นยุคของการเข้าถึงข้อมูลเป็นดั่งน้ำมันในอากาศ แต่ตอนนี้เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุค 5.0 ซึ่งเป็นยุคของการผสมผสานเทคโนโลยีเอไอและกรอบความคิดของคน รวมถึงหลักความยั่งยืนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และเป็นยุคที่ให้ความสำคัญในการเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลขั้นสูงให้กับคนในประเทศ แต่ทั้งนี้เมื่อมาดูผลสำรวจความสามารถทางทักษะดิจิทัล พบว่า เด็กไทยยังขาดทักษะดิจิทัลและภาษาอังกฤษที่ยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน และหากดูการจัดอันดับการแข่งขันในเวทีโลก GDP ไทยอยู่อันดับที่ 26 แต่ GDP/CAPITA อยู่อันดับที่ 84  ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของไทยในการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ รวมไปถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยี  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูปการศึกษาทำให้เด็กเข้าถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ เพราะประสิทธิภาพของทรัพยากรมนุษย์ คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ  

ซีอีโอเครือซีพี ได้เสนอแนะสิ่งที่จะพลิกโฉมการศึกษาไทยให้เท่าทันความท้าทายต่างๆ ในอนาคต ระบบการศึกษาไทยควรต้องปรับการเรียนรู้จาก 2.0 เป็น 5.0 เข็มทิศสำคัญคือการให้ความรัก ให้ความมั่นใจกับเด็ก เน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลาง โดยบทบาทของครูจะต้องปรับเปลี่ยนจากผู้สอนไปเป็น "โค้ช" หรือผู้นำกระบวนการเรียนรู้ (Facilitator) ต้องสอนให้เด็กเป็น "นักค้นคว้า" มีกรอบความคิดใหม่และเกิดการปรับตัวให้อยู่รอดในโลกที่ท้าทายตอนนี้ เพราะฉะนั้นการเรียนรู้จึงต้องปรับให้เด็กเกิดการตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบ ลงมือทำร่วมกัน อภิปรายด้วยเหตุผล เพื่อให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนา โดยทุกโรงเรียนต้องปรับเป็น  Learning Center พร้อมเสนอโมเดล Sustainable Intelligence Transformation (SI Transformation Model) ผ่าน 5 ฐานสำคัญในการเปลี่ยนระบบการศึกษและการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ประกอบด้วย 1.Transparency โรงเรียนต้องมีตัวชี้วัด School Grading พร้อมตัวชี้วัดใหม่ที่มีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง และต้องมีสมุดพกดิจิทัล วิเคราะห์และพัฒนาศักยภาพรายบุคคล  2.Market Mechanism สร้างกลไกตลาดและวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน รวมไปถึงการส่งเสริมสื่อคุณธรรม 3.Leadership &Talents ไม่จำกัดวิทยฐานะผู้อำนวยการ สร้างผู้นำและบุคลากรที่มีทักษะ 5.0 4. Empowerment เน้นการเรียนผ่านการลงมือทำในแบบ Action Based Learning บนสามขาความยั่งยืนคือเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม และควรต้องมี Computer Science เป็นวิชาหลักครอบคลุมดิจิทัลเทคกับเอไอ และ 5.Technology เสนอให้นักเรียนทุกคนมีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต พร้อมส่งเสริมการสร้างสตาร์ทอัพ และดันให้ประเทศไทยเป็นฮับด้านนวัตกรรม โดยเน้นย้ำว่า เด็กทุกคนต้องมีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เพราะนั่นคือห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุด และต้องมีการส่งเสริมศักยภาพของคนรุ่นใหม่ เพื่อการพัฒนาประเทศให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก  

"การศึกษาเป็นเรื่องของทุกคน เป็นเรื่องใหญ่ หากเราต้องการเปลี่ยนแปลงอนาคต เราต้องเปลี่ยนเจเนอเรชันถัดไป เพราะพวกเขาคือผู้ที่จะรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ และต้องสร้างทักษะดิจิทัลให้พวกเขามีศักยภาพในการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างเท่าทัน" ซีอีโอเครือซีพี กล่าวปิดท้าย 

นอกจากนี้ภายในงาน เครือซีพีได้ร่วมออกบูธ CP SEEDING SOCIAL IMPACT นำเสนอความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงของซีอีโอเครือซีพีศุภชัย เจียรวนนท์ ในการมีนโยบายให้กลุ่มธุรกิจค้าส่งค้าปลีกของเครือซีพีอย่าง เซเว่น อีเลฟเว่น แม็คโคร และโลตัส ในการผลักดันส่งเสริม SME และเกษตรกรไทยผ่านโครงการ "แพลตฟอร์มแห่งโอกาส" เสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการไทยเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจของเครือฯ ปัจจุบันเครือฯ ได้สนับสนุนเกษตรกรมากว่า 1 ล้านราย และผู้ประกอบการรายย่อยมากกว่า 8.9 แสนคน ด้วยการส่งเสริมความรู้ความสามารถและการสนับสนุนในด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลกได้  

 

#เครือซีพี #ศุภชัยเจียรวนนท์ #การศึกษา #ดิจิทัล

 

ผู้ว่าฯ อ่างทอง เปิดประชุมการสร้างเครือข่ายการจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทำ

 วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 เวลา 13.00 น. ณ อาคารหอประชุม วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง นายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ประธานประชุมการสร้างเครือข่ายการจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทำ โดยมีนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอ่างทอง, นายภราดร ปริศนานันทกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอ่างทอง ร่วมต้อนรับ พร้อมด้วย นางธิติมา โรจน์วัชราภิบาล ผอ.สำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ, ดร.ไพฑูรย์ สังข์สวัสดิ์ ผอ.วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง, หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษาที่เกี่ยวข้อง, ผู้ประกอบการ และนักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมงานฯ โดยกิจกรรมดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อร่วมกันยกระดับคุณภาพการศึกษาภายใต้แนวทาง "จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน" และใช้แนวคิดที่เข้าใจง่าย "เรียนดี มีความสุข"  ที่จะช่วยผลักดันนักเรียน นักศึกษา สามารถค้นหาตัวตน กล้าคิด กล้าแสดงออก เรียนแล้วสามารถประกอบอาชีพได้ในระหว่างที่ยังศึกษาอยู่ รวมถึงจบแล้วมีงานทำ

     นายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง เน้นย้ำว่า ปัจจุบันการศึกษาเปิดกว้างและมีความยืดหยุ่น ผู้เรียนสามารถเข้าสู่การเรียนรู้ได้หลายรูปแบบ ทุกที่ทุกเวลา จึงต้องเชื่อมโยงข้อมูลทุกภาคส่วนและนำไปใช้พัฒนาระบบการศึกษา หลังจากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง และคณะ ได้เยี่ยมชมการแสดงผลงานนิทรรศการการเรียนสายอาชีพของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดอ่างทอง สำหรับกิจกรรมในวันนี้ ประกอบด้วย การบรรยายการขับเคลื่อนนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการภายใต้นโยบายการจัดการศึกษา “เรียนดี มีความสุข” โดยนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ และการนำเสนอรูปแบบการจัดการอาชีวศึกษาร่วมกับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยนางธิติมา โรจน์วัชราภิบาล ผอ.สำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ และ ดร.ไพฑูรย์ สังข์สวัสดิ์ ผอ.วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง  รวมทั้ง การเสวนาแลกเปลี่ยนการจัดการการศึกษาเพื่อการมีงานทำ

“ไตรศุลี”เผยเกณฑ์ใหม่มาตรการภาษีสนับสนุนการศึกษา หักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าและต้องบริจาคผ่านระบบ e-Donation

รองโฆษกฯ “ไตรศุลี”เผยเกณฑ์ใหม่มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษา ความครอบคลุมสถานศึกษาที่ได้รับบริจาคมากขึ้น หักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าและต้องบริจาคผ่านระบบ e-Donation ของสรรพกรเท่านั้น

วันที่ 27 ส.ค.66 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษาฉบับใหม่ได้มีผลบังคับแล้ว เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 768) พ.ศ. 2566 ซึ่งได้มีการปรับปรุงเกณฑ์การบริจาคให้เกิดความครอบคลุม และลดความเหลื่อมล้ำในการได้รับบริจาคของสถานศึกษาแต่ละประเภท
 
ทั้งนี้ ตามมาตรการภาษีฯ  กำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บุคคลธรรมดาที่บริจาคเงิน, บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่บริจาคเงินหรือทรัพย์สิน ให้แก่สถานศึกษา 5 ประเภท ได้แก่  1) สถานศึกษาของรัฐ 2) โรงเรียนเอกชน แต่ไม่รวมถึงโรงเรียนนอกระบบ 3) สถาบันอุดมศึกษาเอกชน
 
4) สถานศึกษาที่ตั้งขึ้นในประเทศไทยตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับทบวงการชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) และ 5) สถาบันอุดมศึกษา ซึ่งคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศอนุมัติ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีฯ ได้แก่ มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล (CMKL) และมหาวิทยาลัยอมตะ
 
“มาตรการภาษีฯ ฉบับใหม่ปรับปรุงจากเกณฑ์เดิม โดยได้เพิ่มสถาบันอุดมศึกษาซึ่งคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศอนุมัติ โดยความเห็นชอบของ ครม. ให้เป็นสถานศึกษาที่ได้รับบริจาค ที่ผู้บริจาคจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย ซึ่งทำให้เกิดความครอบคลุม สถานศึกษาได้รับการสนับสนุน เกิดการพัฒนาเทคโนยี นวัตกรรมตามมา และช่วยลดภาระด้านงบประมาณภาครัฐได้อีกทางหนึ่งด้วย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
 
น.ส.ไตรศุลี กล่าวอีกว่า ตามมาตรการภาษีฯ นี้ยังได้กำหนดว่าการบริจาคสนับสนุนการศึกษาที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องเป็นการบริจาคผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากรเท่านั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนให้สถานศึกษาทุกแห่งใช้ระบบ e-Donation และเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริจาค
 
สำหรับมาตรการภาษีฯ นี้มีผลสำหรับการบริจาคที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ม.ค. 2565 -  31 ธ.ค. 2567 โดยสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับนั้น กรณีบุคคลธรรมดาสามารถนำเงินมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค แต่จะไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนอื่นๆ ส่วนกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำเงินหรือทรัพย์สินมาหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่าของรายจ่ายที่บริจาคแต่จะไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา
 
พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 768) พ.ศ.2566 ฉบับเต็ม  : https://citly.me/8wbso

 

ธอส. ช่วยเหลือครู-บุคลากรการศึกษา ชูแก้หนี้ดบ.0% นาน 10 ค. มหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค ที่สุราษฎร์ฯ

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) นำมาตรการแก้หนี้และผลิตภัณฑ์ ทางการเงินเข้าร่วมงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค ครั้งที่ 4 จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใน จ.สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพรกระบี่ พังงา ระนอง และพัทลุง ได้รับความช่วยเหลืออย่างครบวงจรและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นำโดยมาตรการช่วยเหลือลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร  มาตรการ 22 [M22]  สำหรับลูกค้าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของรัฐหรือเอกชน ที่ยังคงรับราชการและ/หรือเป็นข้าราชการบำนาญ   ที่มีสถานะเป็น NPL กู้เงินกับธนาคาร มาแล้วอย่างน้อย 1 ปี หรือ มีสถานะเป็น NPLที่อยู่ระหว่าง การใช้มาตรการ/ปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารโดยให้ผ่อนชำระเงินงวดต่ำ พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษนาน 2 ปีเริ่มต้นเดือนที่ 1 – 10 อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี ชำระเพียงงวดละ 1,000 บาท (ตัดชำระเงินต้นทั้งหมด) และ บ้านมือสอง ธอส. ทำเลดีทั่วประเทศ ที่ธนาคารนำมาจำหน่ายมากกว่า 1,300 รายการ พร้อมส่วนลดพิเศษ และรับสิทธิ์ผ่อนดาวน์ไม่มีดอกเบี้ยนานถึง 36 เดือน ผู้ที่สนใจสามารถจองซื้อทรัพย์ออนไลน์ได้ที่ Application : GHB ALL HOME และวางเงินประกัน 5,000 บาท ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขาย (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) พิเศษ!! รับฟรีของสมนาคุณ สำหรับลูกค้าที่จองซื้อบ้านมือสอง ธอส.

ทั้งนี้ งานมหกรรมการเงิน เพื่อครูไทยฯ ครั้งที่ 4 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 พฤษภาคม 2566 ณ หอประชุมวชิราลงกรณ  มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ GHBank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคาร ได้ที่ Mobile Application : GHB ALLGEN และ www.ghbank.co.th