การบินไทยคว้ารางวัล “Hall of Fame” สาขา Best South-East Asian Airline ตอกย้ำผู้นำสายการบินเอเชียตอ.ฉต.

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยนายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นายกิตติพงษ์ สารสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ เข้ารับรางวัล Hall of Fame สาขา Best South-East Asian Airline ในงาน TTG Travel Awards 2025 ครั้งที่ 34 จัดขึ้น ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ฯ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

TTG Travel Awards ถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและสายการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มอบให้แก่บุคคลและองค์กรที่มีผลงานโดดเด่น โดยผู้ชนะรางวัลมาจากการโหวตของผู้อ่านนิตยสาร TTG Travel Trade Publishing และเครือข่ายสื่อในหลายประเทศ อาทิ TTG Asia, TTG China, TTG India, TTG MICE, TTG-BT MICE China และ TTG Asia Luxury 

การบินไทยคว้ารางวัล Hall of Fame – Best South-East Asian Airline จากงาน TTG Travel Awards 2025 ต่อเนื่องกว่า 10 ปี สะท้อนความไว้วางใจจากผู้โดยสารและพันธมิตรทั่วโลก และยังคงมุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานบริการ เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่ดีที่สุดสำหรับผู้โดยสารทุกท่าน

 

เวทีถก “บินไทย” แนะขายหุ้นลดบทบาทบริหาร หวั่น “การเมือง” เข้าล้วงลูก-ธุรกิจหวนซ้ำรอยเดิม

สมาคมนักข่าว จัดราชดำเนินเสวนา ตีโจทย์การบินไทย เดินต่ออย่างไรไม่ให้ซ้ำรอย “บรรยง พงษ์พานิช” อดีตกรรมการการบินไทยแนะให้รัฐบาลขายหุ้นทิ้ง ลดบทบาทการบริหาร เป็นตัวอย่างรัฐวิสาหกิจอื่น พร้อมลดภาระการคลัง สกัดข้าราชการ-การเมืองส่งคนเข้ามาเป็นกรรมการ ด้าน “ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์” หนึ่งในบอร์ดห่วงการเมืองล้วงลูก ธุรกิจหวนซื้อรอยเดิม ขณะที่ “ชาย เอี่ยมศิริ” ซีอีโอแนะปรับ mind set ย้ำวันนี้การบินไทยไม่มีจุดอ่อน 

วันที่ 24 กันยายน 2568 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเวทีราชดำเนินเสวนา หัวข้อ โจทย์ใหม่ “การบินไทย” เดินต่ออย่างไรไม่ให้ซ้ำรอย โดยมีวิทยากร ประกอบด้วย ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) อดีตประธานคณะกรรมการผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และนายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) 
 
นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การบินไทยเป็นรัฐวิสาหกิจที่เก่าแก่ ก่อตั้งในปี 2503 ฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย มีสายการบินใหญ่ๆ ในโลกเลิกกิจการจำนวนมาก อย่าง Panam หรือ United airline เข้าสู่กระบวนการล้มละลายมาแล้ว 2 ครั้ง เช่นเดียวกับ Japan airline 

สายการบินไทยเป็นหลักในการเดินทางของประเทศมาตลอด มีกำไรเรื่อยมา ตอนต้นแทบจะ monopoly แต่พอปี 2547 มีการเปิดเสรีการบิน ทำให้เกิดโลว์คอสแอร์ไลน์จำนวนมากในประเทศไทย จากนั้นเป็นต้นมา เกือบ 20 ปี การบินไทยมีกำไร 3 ปี ซึ่งในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีกำไรหลักไม่ถึงร้อยล้านบาท ขณะที่ยอดขาย 2 แสนล้าน

กระทั่งปี 2019 ขณะที่สายการบินทั่วโลกมีผลประกอบการที่ดีมากๆ แต่การบินไทยขาดทุนหมื่นกว่าล้านบาท ไตรมาสที่ 3 ของปีดังกลาง ซึ่งเป็นไตรมาสที่การบินไทยประกาศว่าสามารถทำ load factor ได้ถึง 80% แต่ขาดทุน 10% เท่ากันหลายพันล้านบาท ความหมายว่าจะทำกำไรได้ต้อง load factor 90% หรือมีผู้โดยสาร 90% ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสายการบินไหนทำได้

แต่โชคดีที่เกิดโควิด-19 เพราะทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจผ่าตัดครั้งใหญ่ เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูตามกฎหมายล้มละลาย และทำให้มีการผ่าตัดใหญ่ตลอด 5 ปี ซึ่งการบินไทย สามารถกลับมาจากขาดทุนมากที่สุดในโลก กลายมาเป็นสายการบินที่กำไรสูงที่สุดในโลก 2 ปีติดต่อกัน

“เรื่องนี้เป็นเคสระดับโลก เป็นการ turn around  ตื่นเต้นยิ่งกว่าที่นายกฯ ญี่ปุ่นฟื้นฟู japan airline เพราะฟื้นฟูในช่วงที่กิจการการบินทั่วโลกดี แต่การบินไทยฟื้นฟูตอนที่ทุกฝ่ายยากลำบาก โจทย์คือจากนี้ต่อไปทำอย่างไรไม่ให้วนไปสู่รูปแบบเดิม สื่อมีบทบาทสำคัญ เพราะสุดท้ายคนที่จะปกป้องการบินไทยได้ดีที่สุดคือประชาชน” นายบรรยง

แนะรัฐขายหุ้นออกทั้งหมด

ส่วนการบินไทยไปต่ออย่างไรเพื่อไม่ให้เจอวิกฤตแบบเดิมในอดีต นายบรรยงกล่าวว่าการที่การบินไทยฟื้นฟูได้ ด้วยความไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ เพราะความเป็นรัฐวิสาหกิจต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบมากมาย แต่ก่อนการบินไทยจะซื้อเครื่องบินลำหนึ่งต้องส่งไปที่กระทรวงคมนาคม ส่งไปที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมีสิทธิที่จะท้วงติง แล้วไปให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ซึ่งใช้เวลา 4 ปี 

ในอดีตขอซื้ออีกรุ่น แต่อนุมัติให้ซื้ออีกรุ่นหนึ่งก็มี การไม่เป็นรัฐวิสาหกิจสำคัญมาก นอกจากกฎระเบียบ ยังมีเรื่องของผู้คนที่ส่งคนมาเป็นกรรมการสัดส่วนนักการเมือง สัดส่วนข้าราชการ ซึ่งจะทำให้การแข่งขันกับการคล่องตัวหายไปทั้งหมด เพราะข้าราชการขาดเวลา ขาดทักษะการบริหารธุรกิจ

“การบินไทยที่ฟื้นฟูมาได้คือ 1. ตัดความเป็นรัฐวิสาหกิจออกไป ตัดกรรมการที่มีแต่ความกลัวออกไปถึงฟื้นฟูได้ 2. ผู้บริหาร ถ้าผู้บริหารไม่ได้เลือกมาจากความสามารถ ผลงาน ถ้ามาจากพวกใคร ที่ไหนก็พัง นี่คือปัญหาใหญ่ พอการบินไทยไม่ได้ปฏิบัติเช่นนี้ก็ทำให้พัฒนาได้มาถึงปัจจุบัน ซึ่งการบินไทยจะเดินต่อไปได้ดีนั้นคือ ลดรัฐ เพิ่มตลาด“ นายบรรยงกล่าว 

ส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้นการบินไทย ที่มีภาครัฐถือหุ้นใหญ่นั้น นายบรรยงแนะนำว่า รัฐบาลควรจะลดบทบาทในการบินไทยลงไปอีก ควรจะขายหุ้นให้หมด เพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นว่ารัฐวิสาหกิจถ้าเตรียมตัวให้พร้อมเขาจะไปได้ดี เหมือนกับที่รัฐบาลอังกฤษไม่ถือหุ้นอยู่เลย แล้วให้ธรรมาภิบาลของตลาดดูแล นอกจากนี้ จะช่วยแก้ปัญหาเสถียรภาพการคลังให้รัฐบาล ลดหนี้สาธารณะได้ส่วนหนึ่ง และจะส่งสัญญาณที่ดีมากให้กลไกของระบบ  

นายบรรยงกล่าวด้วยว่า มีคนบอกตนว่าที่การบินไทยอยู่ได้ เพราะมีผู้โดนมีคนไทยเป็นคนแบก ยอมจ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบินแพง ถ้าคุณอยากช่วยการบินไทย แพงอย่าซื้อ การบินขายได้เพราะเขาแข่งขันได้ จะช่วยกดดันให้การบินไทยพัฒนาคุณภาพ และราคาให้แข่งขันได้ ถ้าเห็นตั๋วแพงอย่าไปซื้อ 

รัฐบาลต้องใจกวว้าง-ไม่ล้วงลูก 

ด้านดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) อดีตประธานคณะกรรมการผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การบินไทยไม่กลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่ เพราะไม่กลับไปอีกแล้ว แต่อย่ากลับไปเป็นองค์กรที่ทำงานเหมือนรัฐวิสาหกิจ ซึ่งตนมีความเป็นห่วง ถ้าหากมีกรรมการที่ไม่มีความเหมาะสม ก็อาจมีการทำงานคล้ายลักษณะรัฐวิสาหกิจได้ แล้วจะกลับไปแบบเดิม 

ที่การบินไทยแย่และทรุดลงมาเพราะมีการแทรกแซงจากข้างนอก แต่งตั้งคนเอาคนที่ไม่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งต่างๆ ตั้งแต่ข้างล่างมาข้างบน คนพวกนี้สุดท้ายแล้วก็มารับใช้คนที่เป็นหนี้บุญคุณในการจัดซื้อจัดจ้าง จะเห็นว่า เวลามีเรื่องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) นักการเมืองไม่โดน มีแต่ผู้บริหารการบินไทยที่โดน 

เพราะนักการเมืองสั่งด้วยวาจา แล้วก็ไปทำมา การที่โกงกินคอร์รัปชั่น มาจากเอาคนของตัวเองขึ้นมา ทำให้องค์กรอ่อนแอเพราะบริหารโดยคนที่ไม่เก่ง ไม่มีประสิทธิภาพ เหมือนก่อนการฟื้นฟูการบินไทย ตอนที่ตนเป็นประธานบอร์ดการบินไทย มีแรงกดดันจากข้างนอกมากพอสมควรในการแต่งตั้งคน และไม่ใช่ระดับข้างบน เขาล้วงไปถึงข้างล่าง เติบโตขึ้นมา ซึ่งวงจรนี้กลับคืนมาได้ถ้าไม่ได้ระวัง 

ส่วนผู้บริหารการบินไทยชุดปัจจุบัน มาจากช่วง 5 ปีที่ทำแผนฟื้นฟู เป็นกลุ่มผู้บริหารที่มีความสามารถที่สุด เขาคือกลุ่มที่ทำให้การบินไทยฟื้นขึ้นมา และรู้ธุรกิจการบิน กลุ่มนี้ยังอยู่ มีความเข้มแข็ง แต่ถ้าไปเจอคนงี่เง่าที่ทำงานด้วย สักพักหนึ่งก็จะหมดแรงหรือการตัดสินใจช้า องค์กรเดินได้ช้า อาจจะพลาดโอกาส เพราะธุรกิจการบินเปลี่ยนแปลงเร็วตลอดเวลา 

คนการบินไทยรักและหวงแหนองค์กรมาก

เมื่อถามว่าการบินไทยจะเดินไปต่ออย่างไรไม่ให้ซ้ำรอย นายปิยสวัสดิ์กล่าวว่าตอนนี้การบินไทยมีผู้บริหารที่แข็งมาก และกลุ่มนี้เขารักและหวงแหนการบินไทย เพราะเขาสร้างมันขึ้นมาจากที่แทบล้มละลาย และต้องการให้บริษัทอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืน

ตอนนี้เรามีกรรมการบริหารจัดการตามปกติ ซึ่งต้องเลือกกรรมการที่ดี และรัฐบาลต้องใจกว้างในการสรรหากรรมการที่เหมาะสม และเอาคนที่มีความสามารถเหมาะสมกับการทำธุรกิจที่แข่งขันมากที่สุดในโลกเข้ามา 

“คนที่จะมาเป็นกรรมการควรจะถามตัวเองด้วยซ้ำว่าเข้ามาแล้วเพิ่มมูลค่าให้บริษัทได้ ถ้าตอบว่าไม่รู้ เข้ามาเสวยตำแหน่งเฉยๆ อย่าเอามาเลย คนที่เข้ามาเป็นกรรมการต้องช่วยบริษัทฟื้นฟูต่อไปได้อย่างยั่งยืน การสรรหากรรมการเป็นเรื่องสำคัญ และไม่เฉพาะการบินไทย รวมถึงรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ด้วยถ้าอยากเห็นรัฐวิสาหกิจไทยมีความยั่งยืนต่อไป” นายปิยสวัสดิ์กล่าว 

เปลี่ยน mind set แก้ปัญหา 

นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการบินไทยทุกวันนี้ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนดีขึ้นมาก แข่งขันกับสายการบินอื่นได้ แต่มาจากการวางแผน ทำตามยุทธศาสตร์ เดินตามแผนฟื้นฟู เรามาขึงดูว่าจุดอ่อน จุดแข็งแป็นอย่างไร ถามทุกฝ่ายว่า ทุกวันนี้การบินไทยมีจุดอ่อนคืออะไร บางคนก็นึกไม่ออก 

แต่ความจริงแล้วคิดว่าการบินไทยแทบไม่มีจุดอ่อนเลย ปัจจัยภายนอกเจอเหมือนกัน ซึ่งปัจจัยภายในการบินไทย มีจุดแข็งคือ ภูมิศาสตร์ที่ดี มีจิตใจการบริการที่ดี ต้นทุนต่อพนักงานต่ำกว่าถ้าเทียบกับสายการบินอื่น ขณะเดียวกันประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น 20% 

สิ่งที่เปลี่ยนไปชัดเจนคือ ยุทธศาสตร์การขาย หลักๆ 95% เหมือนเดิมที่เป็นสายการบินที่มีเครือข่าย แต่ที่ผ่านมาไม่ได้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ ขายแบบ point to point เป็นหลัก ไม่ได้ใช้จุดแข็งด้านภูมิศาสตร์ของเรามาเป็นประโยชน์

ดังนั้น ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเราจัดการเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น วางแผนดู data ว่าผู้โดยสารมีแต่ละตลาดที่บินข้ามประเทศไทย ทำอย่างไรที่จะดึงราฟฟิกมาประเทศไทยได้ จาก point to point 6% ของการบินไทย แต่วันนี้มี 22% แปลว่าเราดึงผู้โดยสารจากสายการบินอื่นมาไว้ที่ประเทศไทย นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากๆ และสะท้อนมายังผลประกอบการ ไตรมาสที่ 2-3 ไม่ขาดทุน กำไรคงที่ จากเดิมที่ไตรมาส 2 และ 3 ขาดทุนมาตลอด 

นายชายกล่าวด้วยว่า ผลิตภัณฑ์ของการบินไทย 10 ปีย้อนหลังการบินไทยมีปัญหาเรื่องฮาร์ดแวร์ เช่น เครื่องบิน เพราะการขาดทุน จึงลดงบลงทุน การจัดหาเครื่องบิน วันนี้เรารู้ปัญหา 3 ปีที่ผ่านมาดำเนินการแก้ไข เราปรับปรุงเครื่องบิน 320 จะมีเครื่องแอร์บัส 321 neo เข้ามาใหม่ ในอีก 2 ปีข้างหน้าจะได้เครื่องบินลำตัวกว้างจากโรงงานเพิ่มขึ้นมาอีก 

“ช่วงนั้น 1 ปีแรกหลังจากฟื้นฟูเป็นเรื่องของการเอาชีวิตรอด ทำอย่างไรให้ตัวเองรอด แต่หลังจาก 1 ปีแล้ว ต้องดูอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะธุรกิจการบินต้องดู long term  ซึ่งเราทำได้ดีในการจัดหาเครื่องบิน 2023 ต้น 2024 ไปลงนามจัดหากับผู้ผลิตเครื่องบินและเครื่องยนต์เพื่อให้ได้มาซึ่งเครื่องบินในอนาคต ถ้าเป็นเมื่อก่อนใช้ mind set เดิมๆ ใช้เวลาในการตัดสินใจนานๆ ก็ไม่มีทางได้ฝูงบินเหล่านี้มา และอยู่ที่ผู้บริหารข้างบนว่าจะสนับสนุนคนทำงานได้มากขนาดไหน” นายชายกล่าว และว่า  

mindset สำคัญมากในการทำธุรกิจ เราเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร เปลี่ยน core value มี 3 ข้อ คือ agility ต้องมีการตัดสินใจที่รวดเร็ว ถ้าไม่รวดเร็วไม่ทันคนอื่นต่อการเปลี่ยนแปลง และเป็นสาเหตุที่ทำให้การบินไทยเกือบล้มละลาย integrity ความซื่อสัตย์ ซื่อตรง และ mastering of customer ใส่ใจลูกค้า ความเป็นมืออาชีพ สะท้อนคุณสมบัติของคนทำธุรกิจ

บินไทย แจ้งยกเลิกเที่ยวบิน กรุงเทพฯ – ฮ่องกง จากสถานการณ์ไต้ฝุ่นรากาซา

วัรที่ 22 กันยายน 2568 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งยกเลิกเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพฯ – ฮ่องกง จากสถานการณ์พายุไต้ฝุ่น “รากาซา (RAGASA)” ดังนี้

วันที่ 23 กันยายน 2568
- เที่ยวบิน TG638 เส้นทาง กรุงเทพฯ – ฮ่องกง / TG639 เส้นทาง ฮ่องกง – กรุงเทพฯ
- เที่ยวบิน TG602 เส้นทาง กรุงเทพฯ – ฮ่องกง

วันที่ 24 กันยายน 2568
- เที่ยวบิน TG603 เส้นทาง ฮ่องกง – กรุงเทพฯ
- เที่ยวบิน TG600 เส้นทาง กรุงเทพฯ – ฮ่องกง / TG601 เส้นทาง ฮ่องกง – กรุงเทพฯ
- เที่ยวบิน TG628 เส้นทาง กรุงเทพฯ – ฮ่องกง / TG629 เส้นทาง ฮ่องกง – กรุงเทพฯ
- เที่ยวบิน TG638 เส้นทาง กรุงเทพฯ – ฮ่องกง / TG639 เส้นทาง ฮ่องกง – กรุงเทพฯ
- เที่ยวบิน TG602 เส้นทาง กรุงเทพฯ - ฮ่องกง

วันที่ 25 กันยายน 2568
- เที่ยวบิน TG603 เส้นทาง ฮ่องกง – กรุงเทพฯ

ผู้โดยสารสามารถติดตามข่าวสารและข้อมูลเที่ยวบินเพิ่มเติม ได้ที่ THAI Contact Center โทร. 0-2356-1111 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ Global Contact Center โทร. +852 2495 1115 บริษัทฯ ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้

การบินไทยแจ้งยกเลิกเที่ยวบินสู่กาฐมาณฑุ วันที่ 9 ก.ย. 68

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งยกเลิกเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพฯ - กาฐมาณฑุ ในวันที่ 9 กันยายน 2568 เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่ปลายทาง ดังนี้

- เที่ยวบิน TG309 เส้นทาง กรุงเทพฯ - กาฐมาณฑุ เวลาออก 20.20 น. เวลาถึง 22.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่น)
- เที่ยวบิน TG310 เส้นทาง กาฐมาณฑุ - กรุงเทพฯ เวลาออก 23.30 น.(ตามเวลาท้องถิ่น) เวลาถึง 04.15 น. ของวันถัดไป

ทั้งนี้ บริษัทฯ กำลังติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด 

สำหรับผู้โดยสารที่มีตารางบินในเส้นทางดังกล่าวระหว่างวันที่ 10-15 กันยายน 2568 สามารถติดตามข่าวสารและข้อมูลเที่ยวบินเพิ่มเติม ได้ที่ THAI Contact Center โทร. 0-2356-1111 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ Global Contact Center โทร. (000) 800 3201 542

 

หุ้นไทยทรุด ผลกระทบเงินบาทอ่อน ฉุดปิด -7.25 จุด มูลค่าซื้อขาย 4.8 หมื่นล้าน

วันที่ 15 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประะเทศไทยว่า วันนี้ (15 ส.ค. 2568) บรรยากาศไม่ค่อยครึกคักเคลื่อนไหวในแดนลบ นักลงทุนส่วนใหญ่ที่ถือหุ้นการบินไทยนำหุ้นออกมาเทขายหลังจากราคาพุ่งแรงเมื่อวานนี้ รวมทั้งหุ้นอื่นๆก็โดนนำมาออกมาเทขายด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ตลาดฯวันนี้ปิดที่ 1,259.42 จุด ลดลง 7.25 จุด หรือ 0.57% มูลค่าซื้อขาย 48,320.80 ล้านบาท

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงเริ่มเห็นแรงกดดัน ทำให้กระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลออกต่อเนื่อง หลังเงินบาทกลับมาอ่อนค่า และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด เพิ่มความเสี่ยงที่ผู้ผลิตจะผลักดันราคาที่เพิ่มขึ้นตรงนี้มายังผู้บริโภค กระทบต่อการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขณะที่ valuation หุ้นไทยที่ค่อนข้างสูง แต่กลับขาดปัจจัยหนุนใหม่ ๆ หลังรับรู้ข่าวดีลการค้าไทย-สหรัฐฯ และมติลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่

THAI    มูลค่าซื้อขาย 6,701.10 ล้านบาท ปิดที่ 16.50 บาท ลดลง 1.30 บาท

BDMS   มูลค่าซื้อขาย 2,739.56 ล้านบาท ปิดที่ 20.90 บาท ลดลง 0.80 บาท

PTT      มูลค่าซื้อขาย 2,453.68 ล้านบาท ปิดที่ 32.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

KTB      มูลค่าซื้อขาย 1,890.67 ล้านบาท ปิดที่ 24.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท

SAWAD มูลค่าซื้อขาย 1,548.39 ล้านบาท ปิดที่ 24.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.90 บาท

"การบินไทย" กลับเข้าตลาดหลักทรัพย์วันแรก ราคาเปิด 10.50 บาทต่อหุ้น พุ่ง 134% สะท้อนความเชื่อมั่นหลังฟื้นฟูกิจการ

"การบินไทย" กลับเข้าตลาดหลักทรัพย์วันแรก ราคาเปิด 10.50 บาทต่อหุ้น พุ่ง 134% สะท้อนความเชื่อมั่นหลังฟื้นฟูกิจการ

วันที่ 4 ส.ค.68 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) จัดพิธีเปิดการกลับเข้าซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้งอย่างเป็นทางการ หลังจากประสบความสำเร็จจากการฟื้นฟูกิจการ ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ครั้งสำคัญ ในฐานะสายการบินที่คนไทยภาคภูมิใจ พร้อมต่อยอดสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับการดำเนินงาน คุณภาพการให้บริการ ควบคู่กับการบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลสูงสุด และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เพื่อก้าวสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนชั้นนำที่มีคุณภาพของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยราคาเปิดเทรดวันแรกอยู่ที่ 10.50 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 134.4% จากราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่ 4.48 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเกือบ 3 แสนล้านบาท

#การบินไทย #THAI #หุ้นการบินไทย #หุ้นไทย #ตลาดหลักทรัพย์ #หุ้นเด่นวันนี้ #ฟื้นฟูกิจการ #หุ้นกลับเข้าเทรด #ลงทุนหุ้น #ข่าวเศรษฐกิจ #ข่าวการเงิน

CAAT เดินหน้ายกระดับการบินไทยสู่ Aviation Hub ชี้อุตสาหกรรมการบินกำลังกลับมาเจริญเติบโต

CAAT แถลงผลการดำเนินงานในช่วง 5 เดือน ถึงสถานการณ์ของอุตสาหกรรมการบินไทยในปัจจุบัน ซึ่งมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง และได้วางทิศทางเชิงรุกเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค (Aviation Hub) ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2568 ประเทศไทยมีผู้โดยสารทางอากาศราว 72.68 ล้านคน เป็นผู้โดยสารเส้นทางภายในประเทศ 33.37 ล้านคน เส้นทางระหว่างประเทศ 39.31 ล้านคน และมีเที่ยวบินรวมราว 467,000 เที่ยวบิน แม้จำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 อยู่ 13.11% แต่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากตลาดหลัก ได้แก่ ยุโรป เอเชียใต้ และอินเดีย สำหรับตลาดจีน แม้จะยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ เนื่องจากความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนไป เน้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ แต่ CAAT อยู่ระหว่างหารือกับทางการจีนเพื่อผ่อนผันการใช้สิทธิ Slot ให้เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สายการบินของไทยสามารถนำอากาศยานไปให้บริการในตลาดสำคัญอื่น ๆ ชั่วคราว เพื่อชดเชยการชะลอตัวของตลาดจีน

วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เผยว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมการบินกำลังกลับมาเจริญเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และมีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน หน่วยงานกำกับดูแลจึงต้องเร่งพัฒนาให้ระบบการบินของไทยมีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน มาตรฐานความปลอดภัย และบริการ เพื่อรองรับบทบาท Aviation Hub อย่างเป็นรูปธรรม โดยช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา CAAT ได้ดำเนินการอนุญาตและกำกับดูแลกิจการการบินในหลายด้านสำคัญ เช่น การออกใบรับรองสนามบินสาธารณะให้กับท่าอากาศยานพิษณุโลก สมุย และกระบี่ รวมทั้งออกใบอนุญาตประกอบกิจการการบินพลเรือนประเภทการขนส่งทางอากาศเพื่อการพาณิชย์แบบประจำมีกำหนด (AOL) ให้สายการบินใหม่ 2 ราย คือ บริษัท อินทิรา (2009) แอร์ และบริษัท สยามวิงส์ แอร์ไลน์ จำกัด และออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ (AOC) ให้แก่ EZY Airlines ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการเดินอากาศรายใหม่

ด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมการบิน CAAT ได้จัดทำแผนปฏิบัติการเร่งด่วน (Quick Win Action Plan) ขับเคลื่อนใน 2 ช่วงหลัก ได้แก่: ช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค. – มิ.ย.) มุ่งส่งเสริมธุรกิจเครื่องบินส่วนบุคคล (Private Jet) ทบทวนเกณฑ์อายุและมาตรฐานการใช้งานอากาศยาน ส่งเสริมให้เกิด Urban Traffic Management (UTM) รวมทั้งส่งเสริมการเจรจาเพื่อเปิดเส้นทางบินตรงสู่สหรัฐอเมริกา ภายหลังไทยได้รับคืนสถานะ FAA CAT1 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ช่วงครึ่งปีหลัง (ก.ค. – ธ.ค.) มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการบิน เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาค ส่งเสริมและสนับสนุนศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ที่สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และภูเก็ต พร้อมยกระดับกระบวนการอนุญาตด้วยเทคโนโลยี เช่น ระบบ Fast Track และส่งเสริมการให้บริการเครื่องบินน้ำ หรือ Sea Plane รวมถึงการจัดตั้งสนามบินน้ำ (Water Aerodromes)

พลอากาศเอก มนัท กล่าวว่า CAAT ยังเตรียมความพร้อมเพื่อรับการตรวจประเมินจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ในโครงการ Universal Safety Oversight Audit Programme Continuous Monitoring Approach (USOAP CMA) ช่วงปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายนนี้ โดยจะมีการตรวจประเมินในด้านต่างๆ เช่น มาตรฐานสนามบิน ความสมควรเดินอากาศ การปฏิบัติการบิน การบริการการเดินอากาศ ฯลฯ ทั้งในสำนักงานและการลงพื้นที่หน่วยงานต่างๆ ในการกำกับดูแลของ CAAT เพื่อประเมินประสิทธิภาพของระบบกำกับดูแลความปลอดภัยด้านการบินของประเทศ ทั้งนี้ หากประเทศไทยได้รับคะแนนสูงจากการตรวจของ ICAO จะช่วยเสริมความเชื่อมั่นจากสายการบิน นักลงทุน และผู้โดยสารทั่วโลก อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสในการเปิดเส้นทางบินใหม่ และยกระดับภาพลักษณ์ความปลอดภัยด้านการบินของไทยในเวทีนานาชาติ

นอกจากนี้ CAAT ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น การผลักดันระบบบริหารจราจรอากาศยานไร้คนขับ (UTM) การจัดตั้งเขตห้วงอากาศเฉพาะสำหรับอากาศยานไร้คนขับ ส่งเสริมการใช้ห้วงอากาศระดับต่ำ ส่งเสริมการใช้งานโดรนในภาคส่วนต่างๆ เช่น โลจิสติกส์ เกษตรกรรม และการตรวจตรา รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมโดรนในอนาคต และ CAAT ได้จัดทำเอกสารแนวทางการกำกับดูแลการให้บริการอากาศยานขึ้นลงทางดิ่งไฟฟ้า (eVTOL) และอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (UAS) ฉบับแรกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อเป็นกรอบความร่วมมือในการพัฒนาและควบคุมเทคโนโลยี AAM อย่างเป็นระบบและปลอดภัย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดงาน ICAO AAM Symposium ในปี พ.ศ. 2569 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่งานสำคัญระดับโลกนี้จะจัดขึ้นในเอเชีย สะท้อนถึงบทบาทเชิงรุกของประเทศไทยในการขับเคลื่อนอนาคตของการบินและการขนส่งทางอากาศในภูมิภาค

พลอากาศเอก มนัท กล่าวว่า ด้วยบทบาทของอุตสาหกรรมการบินในฐานะกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และความมั่นคงของประเทศ CAAT ยังคงมุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลและส่งเสริมการพัฒนาในทุกมิติ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความปลอดภัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคอย่างยั่งยืนในอนาคต

"การบินไทย" พร้อมกลับเข้าซื้อขายในตลท. 4 ส.ค.นี้ ย้ำความสำเร็จการฟื้นฟูกิจการ

วันที่ 4 กรกฎาคม 2568  บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ประกาศความพร้อมในการนำหุ้น “THAI” กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้งในวันที่ 4 สิงหาคม 2568 หลังศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา จากการประสบความสำเร็จในการดำเนินการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งได้พลิกโฉมองค์กรสู่การเป็นบริษัทเอกชนที่พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ถือหุ้น และนักลงทุน ด้วยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตในอนาคตที่ชัดเจน พร้อมที่จะทะยานสู่บทบาทหนี่งในผู้นำในอุตสาหกรรมการบินระดับภูมิภาค ตลอดจนการเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนชั้นนำที่มีคุณภาพของตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้ง 

นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทชุดใหม่มีความมุ่งมั่นเพื่อนำการบินไทยก้าวสู่ยุคใหม่แห่งการเป็นสายการบินที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ และถึงพร้อมด้วยธรรมาภิบาลในการบริหารงานแบบองค์กรเอกชน คณะกรรมการชุดนี้มีความพร้อมทั้งในด้านองค์ความรู้ และวิสัยทัศน์ที่จะร่วมผลักดันองค์กรให้เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นใจ โดยได้รวมผู้เชี่ยวชาญทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยคณะกรรมการชุดใหม่ประกอบด้วยกรรมการ 11 ท่าน ซึ่งจำนวน 3 ท่าน เป็นกรรมการของบริษัทตั้งแต่ในช่วงก่อนเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ และกรรมการสองในสามท่านดังกล่าวยังเป็นอดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ ตลอดจนประกอบด้วยกรรมการเข้าใหม่ 8 ท่านที่ได้รับการแต่งตั้งโดยผู้ถือหุ้นผ่านการพิจารณาตาม Board Skills Matrix เพื่อให้ครอบคลุมความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ อาทิ ธุรกิจการบิน การเงิน กฎหมาย กลยุทธ์ การตลาด และเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมด้วยคณะกรรมการชุดย่อย ได้แก่ คณะกรรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน เพื่อดูแลทุกมิติ โดยเชื่อว่าคณะกรรมการและฝ่ายบริหารพร้อมร่วมทำงานสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยยังคงมีทีมผู้บริหารจากในช่วงกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งช่วยให้สามารถสานต่อการดำเนินงานของการบินไทยได้อย่างมั่นคง

สถานะของบริษัทในวันนี้ถือได้ว่าอยู่ในจุดที่ดีที่สุดในทุกๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นสถานะทางการเงิน ประสิทธิภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขัน บริษัทฯ มีความชัดเจนอย่างยิ่งในเรื่องของทิศทางการเจริญเติบโต และยุทธศาสตร์ที่จะใช้ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างองค์กรที่วันนี้ ไม่เพียงแต่ขนาดและความซับซ้อนที่เหมาะสมต่อขนาดธุรกิจ ค่าใช้จ่ายบุคลากรที่อยู่ในระดับที่มีประสิทธิภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสายการบินชั้นนำในระดับเดียวกัน แต่ยังมีความยืดหยุ่น และสามารถเปลี่ยนแปลงตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งให้ความสำคัญในการส่งเสริมการกำกับดูแลกิจการที่ดี ตามแนวทางของตลาดหลักทรัพย์ และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

สำหรับมิติด้านสิ่งแวดล้อมการบินไทย ในฐานะผู้ประกอบการสายการบินมุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบในการทำธุรกิจที่มีต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065) ทั้งนี้ มีเป้าหมายในการนำพาองค์กรเพื่อต่อยอดความสำเร็จจากการฟื้นฟูกิจการที่ผ่านมาให้ก้าวไปสู่รากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการเป็นองค์กรที่โปร่งใส มีหลักการธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนในระยะยาว

ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า การบินไทยได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการและบรรลุครบถ้วนทุกเงื่อนไขอันเป็นผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูฯ ภายในระยะเวลาเพียง 4 ปี นับตั้งแต่ศาลล้มละลายกลางเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการในปี 2564 โดยผลประกอบการที่เติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่อง สะท้อนถึงความสำเร็จของกระบวนการฟื้นฟูกิจการอย่างชัดเจน โดยในปี 2567 การบินไทยสามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) สูงถึง 41,515 ล้านบาท และยังคงรักษาโมเมนตัมการเติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งเห็นได้จากในไตรมาส 1 ปี 2568 การบินไทยมีกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 13,661 ล้านบาท หรือคิดเป็น EBIT margin สูงที่สุดในกลุ่มสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full-Service) ในเอเชียแปซิฟิกและยุโรปที่ 26.5% (แหล่งที่มาจาก Airline Weekly) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม และที่สำคัญคือ เรามีคณะกรรมการชุดใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์หลากหลาย ซึ่งจะขับเคลื่อนองค์กร เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน โปร่งใส และแข่งขันได้ในระดับโลก นี่คือการบินไทยในโครงสร้างใหม่ที่แข็งแกร่ง พร้อมทะยานสู่ความสำเร็จในระยะยาว

นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมกลยุทธ์การเติบโตของการบินไทยว่า อัตราการเติบโตที่เราเห็นในปัจจุบันไม่ใช่เป็นเพียงการฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 แต่เป็นแรงขับเคลื่อนที่มาจากโครงสร้างหลากหลายด้านและการวางกลยุทธ์ระยะยาวอย่างชัดเจน อาทิ (1) การปรับโครงสร้างและขนาดองค์กรให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนการเพิ่มความโปร่งใสในทุกกระบวนการดำเนินงาน สามารถตรวจสอบได้ (2) การปรับโครงสร้างฝูงบินและจำนวนเครื่องบินให้มีประสิทธิภาพโดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีเครื่องบินจำนวน 150 ลำในปี 2576 ซึ่งลดจำนวนแบบเครื่องบินจาก 8 แบบก่อนเข้าแผนฟื้นฟูกิจการเหลือเพียง 4 แบบ และลดจำนวนเครื่องยนต์จาก 9 แบบเหลือ 5 แบบส่งผลให้สามารถควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานและซ่อมบำรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดจากปัจจุบันที่ 26% เป็น 35% ภายในปี 2572 เหมือนที่เคยทำได้ในอดีตที่ผ่านมา (3) การขยายเส้นทางและความถี่ในการบินเพื่อมุ่งสู่การเป็น regional network airline เชื่อมต่อระดับภูมิภาคและระหว่างทวีป (4) การปรับปรุงบริการห้องโดยสารและช่องทางการขายเพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า (5) การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพซึ่งรวมถึงอย่างเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันเพื่อให้ใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้น และสร้างโอกาสในการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากช่องทางการขายตรง เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้คือปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ทำให้การบินไทยพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเพื่อให้การบินไทยก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมการบินระดับภูมิภาคอย่างแข็งแกร่งในอนาคต

นางเฉิดโฉม เทอดสถีรศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินและการบัญชี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินในปัจจุบันว่า “สถานะทางการเงินของการบินไทยในวันนี้มีความแข็งแกร่งและมั่นคงกว่าเดิมมาก ซึ่งสะท้อนจากความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 187,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 41,515 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไร (EBIT Margin) 22.1% และในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 51,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.3% กำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 13,661 ล้านบาท อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เท่ากับ 83.3% และ อัตราผลตอบแทนต่อผู้โดยสาร (Passenger Yield) เท่ากับ 2.91 ใกล้เคียงกับปีก่อน และความสำเร็จจากการแปลงหนี้และดอกเบี้ยตั้งพักของเจ้าหนี้เป็นทุนกว่า 53,453 ล้านบาท และเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการฟื้นฟูกิจการและพนักงานของบริษัทฯกว่า 22,987 ล้านบาท ในปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 กลับเป็นบวกที่ 55,439 ล้านบาท จากเดิมที่ติดลบเป็นจำนวน 43,142 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563  และสามารถลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E Ratio) เหลือเพียง 2.2 เท่า จาก 12.5 เท่า ในปี 2562 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงสถานะทางการเงินที่มั่นคง โดยไม่มีการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการลดยอดหนี้ลง (Hair Cut) ในส่วนหนี้เงินต้นของเจ้าหนี้ทางการเงินและเจ้าหนี้การค้า ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ของการบินไทย โดยมีกำหนดคืนหนี้ชัดเจนแล้วตามแผนฟื้นฟูกิจการจนถึงปี 2579 ความสำเร็จนี้เป็นผลจากการทำงานอย่างหนัก วินัยทางการเงินที่เข้มงวด ตลอดจนความร่วมมือจากเจ้าหนี้พนักงาน
การบินไทยทุกคนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน

หมายเหตุ: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

พร้อมแล้ว! "ตลาดหลักทรัพย์" เล็งให้ THAI กลับเข้าเทรดใน SET ตั้งแต่ 4 ส.ค.นี้ ปลดเครื่องหมาย "SP" และ "NC"

วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อนุมัติให้บมจ. การบินไทย [THAI] พ้นเหตุอาจถูกเพิกถอน โดยปลดเครื่องหมาย "SP" (Suspension) และ "NC" (Non-compliance) และให้เริ่มซื้อขายหลักทรัพย์ THAI ในตลาดหลักทรัพย์ (SET) กลุ่มบริการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ ตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค. 68 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะไม่กำหนดราคาซื้อขายสูงสุดและต่ำสุด (Celing & Floor), Dynamic Price Band และ Auto Pause สำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์ THAI ในวันที่ 4 ส.ค. 68 ซึ่งเป็นวันแรกที่มีการซื้อขาย ต่อเนื่องไปจนกว่าหลักทรัพย์ THAI จะมีการซื้อขาย กรณีที่หลักทรัพย์ THAI มีการซื้อขายแล้ว ตลาดหลักทรัพย์จะนำเกณฑ์ Ceiling & Floor ปกติ, เกณฑ์ Dynamic Price Band และเกณฑ์ Auto Pause มาใช้กับหลักทรัพย์ THAI ในวันทำการถัดไป รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะนำหลักทรัพย์ THAI มารวมในการคำนวณดัชนี้ราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ในวันทำการถัดไป นับจากวันที่มีการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นวันแรก

ทั้งนี้  THAI เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 64 เนื่องจากงบการเงินประจำปี 2563 ปรากฏส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์นั้น บริษัทได้แก้ไขเหตุอาจถูกเพิกถอนและดำเนินการให้มีคุณสมบัติเพื่อกลับมาซื้อขายครบถ้วนตามเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว และบริษัทได้ยื่นคำขอพันเหตุอาจ ถูกเพิกถอนและขอให้เปิดซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (SET) รวมถึงได้ห้ามผู้ถือหุ้นที่มีส่วนร่วมในการบริหารงาน (Strategic Shareholders) นำหุ้นร้อยละ 55 ของทุนชำระแล้ว ออกขายภายใน 1 ปี ตามเกณฑ์ Silent Period

การบินไทย จับมือ ซัมซุง ยกระดับประสบการณ์การเดินทางผ่าน Samsung Wallet

การบินไทย และ ซัมซุง ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ เดินหน้าสร้างมาตรฐานใหม่ของการเดินทางและไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ภายใต้พันธกิจร่วมกันในการเชื่อมโยงเทคโนโลยีกับประสบการณ์ผู้บริโภคอย่างไร้รอยต่อ (Seamless Experience) โดยความร่วมมือระหว่างสองแบรนด์ผู้นำของประเทศไทยในครั้งนี้มุ่งเน้นการพัฒนา Digital Ecosystem ที่ตอบโจทย์ลูกค้าของการบินไทย โดยเปิดตัวความสามารถใหม่ในการเข้าถึง Boarding Pass ผ่าน Samsung Wallet ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของการบินไทยที่นำระบบดังกล่าวมาใช้ เพื่อเพิ่มความสะดวก ความปลอดภัย และความทันสมัยให้กับผู้โดยสารในยุคดิจิทัล

นายทวิโรจน์ ทรงกำพล ประธานเจ้าหน้าที่สายกลยุทธ์องค์กร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การบินไทยให้ความสำคัญกับการยกระดับประสบการณ์ของผู้โดยสารอย่างต่อเนื่อง และการร่วมมือกับซัมซุงในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนองค์กรสู่ดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมยกระดับประสบการณ์ใหม่ด้วยความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับบัตรโดยสาร Boarding Pass ผ่าน Samsung Wallet ที่จะช่วยให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ จากระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM)  

นายสิทธิโชค นพชินบุตร ประธานองค์กรธุรกิจโมบายล์ เอ็กซ์พีเรียนซ์ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “ซัมซุงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คน และความร่วมมือกับการบินไทยในครั้งนี้ สะท้อนถึงแนวทางการขับเคลื่อน Smart Travel Experience ที่แท้จริง เราเชื่อว่าการเชื่อมโยง Samsung Wallet เข้ากับระบบของสายการบินชั้นนำของไทยอย่างการบินไทย จะช่วยมอบประสบการณ์ที่ลื่นไหล ปลอดภัย และทันสมัยให้กับผู้โดยสาร พร้อมเป็นอีกก้าวของการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่มีความหมายต่อสังคมไทย”

สำหรับ Samsung Wallet คือแอปกระเป๋าเงินดิจิทัลแบบครบวงจรที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจัดเก็บและเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นบัตรที่นั่ง ดิจิทัลคีย์ บัตรสมาชิก รหัสผ่าน ที่อยู่ ตั๋ว หรือบัตรของขวัญ โดยมีระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงผ่านไบโอเมตริกซ์ ทั้งยังรองรับฟีเจอร์ล้ำสมัยอย่างการปลดล็อกและสตาร์ทรถด้วยเทคโนโลยี UWB รวมถึงค้นหาข้อเสนอและโปรโมชันจากร้านค้าชั้นนำได้ภายในแอปเดียว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ดิจิทัลในทุกวันอย่างไร้รอยต่อ โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.samsung.com/th/support/apps-services/learn-more-about-samsun...

นอกจากนี้ ทั้งสององค์กรยังร่วมมือกันในด้านระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) เพื่อมอบข้อเสนอพิเศษ สิทธิประโยชน์ และโปรโมชันที่ตรงใจแก่ผู้ใช้งานจากทั้งสองฝ่าย ความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนจุดยืนของทั้งสองแบรนด์ในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและบริการเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม