ประชุมสุดยอดธุรกิจ Chile-ASEAN Business Summit 2025 เปิดศักราชใหม่แห่งการค้า นวัตกรรม และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

วันที่ 10 กันยายน 2568 การประชุม Chile-ASEAN Business Summit 2025 เปิดฉากอย่างเป็นทางการวันนี้ที่โรงแรมไฮแอท รีเจนซี โดยตลอด 3 วันของการประชุม มุ่งเน้นการเสวนาระดับสูง การจับคู่เจรจาธุรกิจ การเยี่ยมชมกิจการต่างๆ ตลอดจนกิจกรรมทางวัฒนธรรม เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างชิลีกับภูมิภาคอาเซียน

เอกอัครราชทูตชิลีประจำประเทศไทย นายปาตริซิโอ พาวเวลล์ เป็นประธานในพิธีเปิด โดยมีนางเกลาเดีย ซานอูเอซา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศฝ่ายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สาธารณรัฐชิลี ดร. นลินี ทวีสิน อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย และนายอิกนาซิโอ เฟอร์นันเดซ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก (ProChile) ร่วมกล่าวต้อนรับ ซึ่งทุกฝ่ายล้วนย้ำถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของชิลีในฐานะพันธมิตรสำคัญของอาเซียน หนึ่งในภูมิภาค เศรษฐกิจที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในโลก

ผู้ส่งออกจากชิลีกว่า 20 รายในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เกษตรและอาหารทะเล ไวน์ ไม้ป่าไม้ บริการ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เดินทางมาร่วมงานที่กรุงเทพฯ และจาการ์ตา โดยมีกำหนดเข้าร่วมการจับคู่เจรจาธุรกิจกว่า 200 รอบกับผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายกว่า 70 รายจากทั่วอาเซียน อาทิ ไทย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ยังมีการสัมมนา เวิร์กช็อปไวน์ และเทศกาลสินค้าสำหรับผู้บริโภคโดยตรง เพื่อแนะนำสินค้าต่างๆ จากชิลีสู่ผู้บริโภคในไทยและภูมิภาค

“การประชุมครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างชิลีกับอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย ในโอกาสครบรอบ 10 ปี ของความตกลงการค้าเสรีชิลี–ไทย” นางซานอูเอซา กล่าว “แม้เราจะอยู่ห่างไกลกันคนละทวีป แต่เรายังคงเชื่อมโยงถึงกันด้วยค่านิยมร่วม ซึ่งได้แก่ การเปิดกว้างทางการค้า ความมุ่งมั่นสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และความเชื่อมั่นว่าการร่วมมือระดับภูมิภาคคือกุญแจสำคัญสู่ความรุ่งเรืองในอนาคต”

ด้วยจำนวนประชากรกว่า 680 ล้านคน และชนชั้นกลางที่เติบโตอย่างรวดเร็ว อาเซียนนับเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาสใหม่ๆ สำหรับชิลีในการกระจายการค้าและการลงทุน ในขณะเดียวกัน อาเซียนก็สามารถเข้าถึงสินค้าคุณภาพสูง ปลอดภัย และยั่งยืนจากชิลี รวมถึงระบบนิเวศของนวัตกรรมที่เต็มไปด้วยพลังของชิลีซึ่งจะเป็นประตูไปสู่ต่อภูมิภาคลาตินอเมริกา

      นายอิกนาซิโอ เฟร์นานเดซ อธิบดี ProChile กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ยังให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการสร้างโอกาสทางการค้าสำหรับผู้ประกอบการ SMEs  “เราไม่ได้มุ่งหวังแค่ตัวเลขทางการค้า แต่เราอยากเปิดโอกาสให้ SME ของชิลี ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของภาคส่งออก ได้พบปะโดยตรงกับคู่ค้าจากอาเซียน เพื่อขยายเครือข่ายและสร้างความร่วมมือระยะยาว งานที่จัดครั้งนี้ผสมผสานระหว่างการเจรจาธุรกิจกับกิจกรรมทางวัฒนธรรม เช่น การสาธิตการทำอาหารชิลี และกิจกรรมโปรโมชันร่วมกับห้างค้าปลีกอย่าง Gourmet Market ที่เอ็มควอเทียร์ และ GO! Wholesale รังสิต แสดงให้เห็นถึงมิติต่างๆ ในด้านความคิดสร้างสรรค์และการร่วมมือของชิลี”

ดร. นลินี ทวีสิน อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า “การเดินทางของคณะผู้แทนการค้าชิลีมายังประเทศไทยครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความสัมพันธ์กับประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ชิลีคือมิตรประเทศของไทย จากอีกฝั่ง ของมหาสมุทรแปซิฟิก  และเราก็หวังว่าชิลีจะถือว่าเราคือ ประตูสู่อาเซียนเช่นเดียวกับที่เรายึดถือชิลีเป็นประตูสู่ละตินอเมริกา”

Chile-ASEAN Business Summit 2025 จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วยการหารือด้านการค้า การเจรจาระดับรัฐบาล และกิจกรรมทางวัฒนธรรม เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นของชิลี ที่จะเป็นพันธมิตร ระยะยาวของอาเซียน ในด้านความมั่นคงทางอาหาร นวัตกรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืน


                                                                                                                                      * * * * * * * * * *

DITP ยกระดับเครือข่ายแบรนด์ไทยจาก IDEA LAB รุ่น 1-8สู่ตลาดสากล สร้างโอกาสทางการค้าอย่างเป็นรูปธรรม

DITP ยกระดับเครือข่ายแบรนด์ไทยจาก IDEA LAB รุ่น 1-8 สู่การค้าในตลาดสากลติดตามการพัฒนาแบรนด์เดิม เพิ่มเติมแบรนด์ใหม่จากรุ่นล่าสุด สร้างโอกาสทางการค้ากับตลาดเป้าหมายด้วยช่องทางที่มีศักยภาพ จับคู่เจรจาธุรกิจแบบออนไลน์ผ่าน Thaitrade.com ​พร้อมเตรียมจัดแสดงสินค้าแบบเข้าถึงผู้บริโภคให้ได้ทดลองชิม ใช้ ที่กูร์เมต์ มาร์เก็ต สยามพารากอน วันที่ 16-25 กันยายนนี้
 
วันที่ 27 สิงหาคม 2568 นายสุรินทร สุนทรสนาน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ภายใต้การบริหารของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจตุพร บุรุษพัฒน์) ซึ่งได้วางแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ในการสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านการค้าระหว่างประเทศ ผลักดันให้ไทยเป็น 1 ใน 5 ของเอเชียในปี 2570 โดยสร้างจุดแข็งให้กับสินค้าและบริการไทยเพื่อตอบสนองความต้องการ Megatrends และยุค Next Normal ผ่านการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs ให้มีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการของตนเอง ด้วยองค์ความรู้ด้านการสร้างแบรนด์ การออกแบบ นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์อย่างเป็นระบบและครบวงจร เพื่อให้มีความพร้อมด้านการค้าและเศรษฐกิจยุคใหม่ ยกระดับผู้ประกอบการท้องถิ่นในทุกภูมิภาคของประเทศสู่ตลาดโลก ตลอดจนสามารถสร้างผู้ส่งออกรายใหม่ (New Faces) ได้

ทั้งนี้ “โครงการส่งเสริมเครือข่ายแบรนด์ไทยสู่ตลาดสากล ปี 2568” โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ดังกล่าว ที่มุ่งเน้นการสร้างโอกาสทางการตลาดผ่านช่องทางการค้าต่างๆ ที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือเป็นการต่อยอดผู้ประกอบการที่ผ่านการเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะแบรนด์ไทย (IDEA LAB) ซึ่งได้ดำเนินการระหว่างปี 2561 - 2568 จากรุ่นที่ 1 มาถึงรุ่นที่ 8 ในปัจจุบัน ที่ได้รับคู่มือกลยุทธ์การสร้างแบรนด์เป็นรายบริษัทมาแล้ว รวมจำนวนทั้งสิ้น 128 ราย ทั้งในกลุ่มสินค้าอาหาร สินค้าสุขภาพและความงาม รวมทั้งสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์กิจกรรมหลักภายใต้โครงการประกอบด้วย กิจกรรมสร้างเครือข่ายและเตรียมความพร้อมแบรนด์ศักยภาพในการเจาะตลาดต่างประเทศ โดยมีการอบรมให้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์หลากหลายหัวข้อที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น FUTURE GLOBAL CONSUMERS ส่องทิศทางผู้บริโภคไทยและผู้บริโภคโลกโดย ณัฐสมณฑ์ วณิชย์วรนันต์ ผู้ก่อตั้ง 527talk และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภค, SMART BRANDING IN A DIGITAL WORLD  ทางลัดสร้างแบรนด์สู่ความสำเร็จในโลกดิจิทัล โดย จิรนันท์ ทรัพย์ศรีโสภา ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัล และผู้ก่อตั้งแบรนด์แฟชั่น Issa Apparel, POTENTIAL MARKET UNVEILED I เจาะลึกตลาดศักยภาพ: ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดย จักรภพ  ฉิมอำพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์บี จำกัด, POTENTIAL MARKET UNVEILED II เจาะลึกตลาดศักยภาพ: อาเซียน โดย พชิรรินทร์  สิริอรรถิยะประภา ผู้ก่อตั้งแบรนด์สินค้าเพื่อสุขภาพและความงามจากมะพร้าว Nuttarin และ POTENTIAL MARKET UNVEILED III เจาะลึกตลาดศักยภาพ: ตะวันออกกลาง โดย ชวมณฑ์ ปวโรดม ผู้บริหารแบรนด์กระเป๋าหนังเอ็กโซติกสกิน S'uvimol กิจกรรมทบทวนและติดตามผลการพัฒนาแบรนด์ หรือการให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ IDEA LAB รุ่น 1-7 โดยคณะผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ สมชนะ  กังวารจิตต์ ผู้ก่อตั้ง Prompt Design,  ณทัต  ณ สงขลา ผู้ก่อตั้ง The Double Rabbits Creation Agency และ ทรงพล  เนรกัณฐี นักรังสรรค์แบรนด์และนักการตลาดเชิงกลยุทธ์

การจับคู่เจรจาธุรกิจในรูปแบบออนไลน์ผ่านช่องทางการค้าต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าในตลาดสากล ซึ่งทางสำนักส่งเสริมมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้าจะบูรณาการทำงานร่วมกับสำนักงานตลาดพาณิชย์ดิจิทัล (Thaitrade.com) ในการเชิญชวนผู้ซื้อผู้นำเข้าจากตลาดเป้าหมายเพื่อจับคู่เจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการ IDEA LAB รุ่น 1-8 ในรูปแบบ Online Business Matching และ กิจกรรมสร้างโอกาสทางการค้าร่วมกับห้างสรรพสินค้าชั้นนำในประเทศ เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้ทดลองชิม ทดลองใช้สินค้าจากแบรนด์ไฮไลท์ที่นำมาจัดแสดงและส่งเสริมการขาย ระหว่างวันที่ 16-25 กันยายน 2568 ตั้งแต่ 10.00-22.00 น. ณ กูร์เมต์ มาร์เก็ต สยามพารากอน กรุงเทพฯ  

 

ITD ชวนร่วมงาน Regional Trade Exponential Fest 2025  จุดประกายการค้าระดับภูมิภาค  23 ก.ค. 68 วันเดียวเท่านั้น! 

วันที่ 9 กรกฎาคม 2568  สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) เชิญชวนผู้ประกอบการ นักธุรกิจ นักศึกษา และผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน Regional Trade Exponential Fest 2025 มหกรรมจุดประกายการค้าระดับภูมิภาค ที่รวบรวมผู้นำธุรกิจ ผู้ประกอบการ และผู้เชี่ยวชาญจากสุดยอดธุรกิจชั้นนำทั่วภูมิภาค มาร่วมเจาะลึกและแลกเปลี่ยนมุมมองเทรนด์การค้าโลกบนเวทีเสวนาสุดเข้มข้น พร้อมล่ามแปลภาษาตลอดทั้งงานเพื่อเตรียมพร้อมประเทศไทยรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกการค้าในศตวรรษที่ 21 และต่อยอดสู่โอกาสทางการค้าระดับนานาชาติ พร้อมกิจกรรมไฮไลท์อีกมากมายในงานที่พลาดไม่ได้ จัดขึ้นเพียงวันเดียวเท่านั้น พบกันได้ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ณ พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้า สยามพารากอน 

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม และสำรองที่นั่ง (มีจำนวนจำกัด) ได้ที่ Eventpop https://bit.ly/tradexponential2025

"พาณิชย์" เผยไทย-เอฟต้า FTA ฉบับที่ 16 โอกาสทองการค้า-ลงทุนไทยในยุโรป 

"พาณิชย์" เผยไทย-เอฟต้า FTA ฉบับที่ 16 โอกาสทองการค้า-ลงทุนไทยในยุโรป 

เมื่อวันที่ 14 ม.ค.68 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้ปิดดีล FTA ไทย - EFTA ได้สำเร็จ ถือเป็น FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับกลุ่มประเทศในยุโรป โดยจะมีการลงนาม FTA ฉบับใหม่นี้ในวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่การประชุม World Economic Forum ดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งจะทำให้ไทยมี FTA ทั้งหมด 16 ฉบับ กับ 23 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ

โดยการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association: EFTA) ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ ได้แก่ (1) สวิตเซอร์แลนด์ (2) นอร์เวย์ (3) ไอซ์แลนด์ และ (4) ลิกเตนสไตน์ สามารถสรุปการเจรจาได้ 15 เรื่อง* ถือเป็น FTA สมัยใหม่ที่ข้อตกลงมีความครอบคลุมอย่างรอบด้านนอกเหนือไปจากประเด็นการค้าและการลงทุน โดยเป็นข้อตกลงที่มีมาตรฐานสูง สอดคล้องกับการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นแต้มต่อให้ผู้ประกอบการไทยในการประกอบธุรกิจและปูทางสำหรับการเจรจา FTA กับคู่ค้าสำคัญอื่นๆ เช่น สหภาพยุโรป ในอนาคต      

ทั้งนี้ในช่วง 11 เดือนของปี 2567 (มกราคม – พฤศจิกายน) ไทยและ EFTA มีมูลค่าการค้ารวม 11,467.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 2.05 ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 24.94 โดยไทยส่งออกไปยัง EFTA 4,121.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และนำเข้าจาก EFTA 7,345.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) อัญมณีและเครื่องประดับ (2) นาฬิกาและส่วนประกอบ (3) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (4) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และ (5) เครื่องใช้สำหรับเดินทาง และสินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) เครื่องเพชรพลอยอัญมณี เงินแท่งและทองคำ (2) นาฬิกาและส่วนประกอบ (3) เนื้อสัตว์สำหรับการบริโภค (4) ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม และ (5) ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์

ผอ. สนค.กล่าวเพิ่มเติมว่า การเจรจา FTA ถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยในปี 2568 นายพิชัยฯ ได้สั่งการให้เร่งรัดการเจรจา FTA อีกหลายฉบับ อาทิ FTA ไทย-สหภาพยุโรป (EU) / ไทย-เกาหลีใต้ / ไทย-ภูฏาน / ไทย – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) / อาเซียน – แคนาดา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจ และการส่งออกของไทย รวมถึงให้เร่งจัดทำความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การเจรจา FTA ในอนาคตกับประเทศคู่ค้าศักยภาพ ได้แก่ ไทย-สหราชอาณาจักร / ไทย-ยูเรเซีย (Eurasian Economic Union: EAEU) ซึ่งประกอบด้วย 5 ประเทศ ได้แก่ (1) รัสเซีย (2) เบลารุส (3) คาซัคสถาน 4) อาร์เมเนีย และ (5) คีร์กีซสถาน รวมทั้งเดินหน้ายกระดับ FTA ที่ไทยมีอยู่แล้ว อาทิ ความตกลง FTA ไทย - เปรู / ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) / FTA อาเซียน-จีน/ FTA อาเซียน-อินเดีย/ FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ ให้ความตกลงมีความทันสมัย สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน ตอบโจทย์การอำนวยความสะดวกทางการค้าของผู้ประกอบการ

โดยในช่วง 10 เดือนของปี 2567 (มกราคม – ตุลาคม) ไทยมีมูลค่าการค้ากับโลก 507,547 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการค้ารวมกับประเทศคู่ FTA มีมูลค่า 299,345 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 59 ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทย การส่งออกไปประเทศคู่ FTA มีมูลค่า 143,635 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 2.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 57.4 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย และการนำเข้าจากประเทศคู่ FTA มีมูลค่า 155,710 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 4.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60.6 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดของไทย นอกจากนี้ ในปี 2567 (เดือนมกราคม-ตุลาคม) มีการส่งออกโดยขอใช้สิทธิ FTA มูลค่า 69,707.10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ1.11 และคิดเป็นสัดส่วนการขอใช้สิทธิฯ ร้อยละ 84.57 ของการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ ทั้งหมด

ผอ.สนค.กล่าวทิ้งท้ายว่าการเจรจาจัดทำ FTA จะช่วยเพิ่มพันธมิตรทางการค้าใหม่ๆ ลดอุปสรรคทางการค้า สร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการค้าการลงทุนจากต่างชาติ ยกระดับมาตรฐาน สร้างความได้เปรียบและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทยในการส่งออก เพิ่มบทบาทของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก และสนับสนุนให้ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของภูมิภาค รวมถึงกระชับความสัมพันธ์และสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน 

#กระทรวงพาณิชย์ #เอฟทีเอ #ข่าววันนี้ #การค้า #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ยุโรป

 

 

"สนค." วิเคราะห์การค้า Fair Trade โลกโตต่อเนื่องตามเทรนด์การพัฒนาที่ยั่งยืน

สนค.ศึกษารูปแบบการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) ที่หลายประเทศทั่วโลกมีการนำมาใช้ ชี้แม้ตลาดยังโตน้อยแต่จับตาโตต่อเนื่องตามเทรนด์การพัฒนาที่ยั่งยืน หวังเป็นช่องทางสร้างโอกาสใหม่ให้สินค้าเกษตรไทยมีมูลค่าสูงขึ้น ตลอดจนเป็นเครื่องมือสร้างความเป็นธรรมและโปร่งใสต่อการค้าสินค้าเกษตร 

เมื่อวันที่ 13 ม.ค.68 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษาและติดตามสถานการณ์ มาตรการ และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้า เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์ในการสร้างโอกาสและปรับตัวต่อการค้า พบว่า ปัจจุบันหลายประเทศเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างระบบการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) ที่จะช่วยสร้าง
ความโปร่งใสในกระบวนการการค้า ทำให้เกษตรกรและผู้ผลิตได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม รวมถึงผู้บริโภคได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ ตลอดจนตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนใน 3 มิติ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 

สำหรับการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) เป็นแนวคิดที่นิยามโดย The International Fair Trade Charter  หมายถึง ความร่วมมือทางการค้าที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเจรจา ความโปร่งใส และความเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการค้าระหว่างประเทศ เน้นการเพิ่มมูลค่าทางการค้าให้แก่สินค้า การจัดสรรผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่า และการส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การกำหนดราคาขั้นต่ำที่เป็นธรรม การจัดสรรเงินพิเศษเพื่อพัฒนาชุมชน การสร้าง
ความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร เป็นต้น 

โดยข้อมูลจากองค์กรแฟร์เทรดสากล (Fairtrade International) เปิดเผยว่า ในปี ค.ศ. 2022 ประเทศที่มีผู้ผลิตที่ได้รับการรับรองตราสัญลักษณ์ Fairtrade มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ โกตดิวัวร์ เปรู โคลอมเบีย อินเดีย และเคนยา และสินค้าที่ได้รับการรับรอง Fairtrade ที่มีปริมาณการค้าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กล้วย (730,176 ตัน) โกโก้ (232,847 ตัน) กาแฟ (231,188 ตัน) อ้อยน้ำตาล (169,042 ตัน) และผลไม้สด (102,698 ตัน)  มูลค่าการค้าที่เกษตรกรหรือผู้ผลิตได้รับเพิ่มจากราคาขายสินค้าปกติ (Fairtrade Premium) คิดเป็นจำนวนเงิน 222.8 ล้านยูโร (หรือ 230.3 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นประมาณ 7,820.8 ล้านบาท)   เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 10.5% มีการเติบโต CAGR ประมาณ 4.4% ต่อปี โดยมาจากพื้นที่ (1) ลาตินอเมริกันและแคริบเบียน 62.3% (2) แอฟริกา (31.1%) และ (3) เอเชีย (6.6%) สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (Fairtrade Premium) สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กาแฟ (สัดส่วน 42.9%, 95.6 ล้านยูโร) โกโก้ (23.7%, 52.8 ล้านยูโร) กล้วย (17.1%, 38.2 ล้านยูโร) อ้อยน้ำตาล (4.6%, 10.3 ล้านยูโร) ดอกไม้และพืชพันธุ์ (3.4%, 7.6 ล้านยูโร) และอื่นๆ (8.3%, 18.3 ล้านยูโร) ตลาดที่มีมูลค่าการค้าปลีกสินค้าที่ได้รับการรับรอง Fairtrade สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สหราชอาณาจักร เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา 

สำหรับประเทศไทย ในปี ค.ศ.2022 มีสินค้าที่ได้รับการรับรอง Fairtrade จาก FLOCERT  จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ ข้าว (95.3%) ผลไม้สด (3.3%) และ สมุนไพร ชาสมุนไพร และเครื่องเทศ (1.4%) โดยสามารถสร้าง Fairtrade Premium เพิ่มได้กว่า 220,707 ยูโร (หรือ 228,168.4 เหรียญสหรัฐ  คิดเป็นประมาณ  7.7 ล้านบาท)  (ปริมาณสินค้า  7,270.0 ตัน หรือ 7,270,000 กิโลกรัม) จากข้าว (61.7%) และผลไม้สด (38.3%) ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการด้านการเกษตรที่ขึ้นทะเบียนจำนวน 35 ราย 

ทั้งนี้ตัวอย่างประเทศที่นำแนวคิด Fair Trade มาใช้แล้วได้แก่ สหรัฐอเมริกา ออกข้อบังคับเรื่องความโปร่งใสในการทำสัญญาและการแข่งขันของผู้เลี้ยงสัตว์ปีก (Transparency in Poultry Grower Contracting and Tournaments) โดยกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลผู้เลี้ยงและผู้ค้าสัตว์ปีกมีชีวิต รวมถึงระบบการชำระเงินและการปรับปรุงทุน (Poultry Grower Payment Systems and Capital Improvement Systems) (อยู่ระหว่างปรับปรุงหลังจากรับฟังข้อคิดเห็นเมื่อเดือนสิงหาคม 2567) 

สหราชอาณาจักร ประกาศแผนส่งเสริมความเป็นธรรมในห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร ภายใต้กฎหมาย Agriculture Act 2020 โดยกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนในสัญญาระหว่างผู้ผลิตและผู้ซื้อ เช่น การยกเลิก ระยะเวลาของสัญญา และการกำหนดราคาที่โปร่งใส รวมถึงได้ออกข้อบังคับ Fair Dealing Obligations (Milk) Regulations 2024 (FDOM24) ใช้ในสินค้านมแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการออกข้อบังคับสำหรับสุกร และไข่ 

สหภาพยุโรป เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ได้แก้ไขระเบียบองค์กรตลาดร่วมด้านสินค้าเกษตร (Common Market Organizations: CMOs) และร่างกฎระเบียบใหม่ว่าด้วยการบังคับใช้ข้ามพรมแดนเพื่อต่อต้านการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยให้มีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรและจัดตั้งกลไกไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างเกษตรกรและผู้ซื้อ เพื่อลดความขัดแย้งและสร้างความเป็นธรรมในการเจรจา 

ฝรั่งเศส ออกกฎหมาย EGAlim3 จะมีผลบังคับใช้เดือนเมษายน 2568 เพื่อสร้างสมดุลในความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกรผู้ผลิต (Suppliers) กับผู้จัดจำหน่าย (Distributors) ในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะการคุ้มครองเกษตรกรผู้ผลิตกับผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น กำหนดช่วงเวลาการเจรจาระหว่างเกษตรกรผู้ผลิตกับผู้จัดจำหน่ายทุกปี (1 ธันวาคม – 1 มีนาคม) หากไม่เป็นไปในช่วงเวลาดังกล่าว สามารถ
บอกเลิกสัญญาได้โดยถือว่าไม่ผิดสัญญา นอกจากนี้ กำหนดให้สถาบันการศึกษาและสุขภาพของรัฐ ต้องจัดซื้อผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนอย่างน้อย 50% รวมถึงสินค้า Fair Trade 

การส่งเสริมการค้า Fair Trade เป็นโอกาสทางการค้าที่สอดรับกับเทรนด์การค้ายั่งยืน โดยข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค Voice of the Consumer Survey 2024 จาก PricewaterhouseCoopers รายงานว่า ปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคเลือกสินค้า ดังนี้ 
• ผู้บริโภคยินดีจ่ายราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ย 9.7% สำหรับสินค้าที่ผลิตหรือจัดหามาอย่างยั่งยืน 
• ผู้บริโภค 20% เลือกสินค้าจากผู้ประกอบการที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และ 17% เลือกสินค้าจากการมีส่วนร่วมของชุมชน 
• ผู้บริโภคเต็มใจจ่ายสินค้าที่ผลิตจากผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงด้านจริยธรรม เช่น สิทธิมนุษยชน เป็นต้น สูงกว่าราคาเฉลี่ยของสินค้าปกติที่ประมาณ 1-5%

ผอ.สนค.กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันการค้า Fair Trade ยังเป็นการค้าเฉพาะกลุ่ม แต่มีความสอดคล้องกับกระแสโลกเรื่องความยั่งยืน จึงคาดว่าในอนาคตการค้า Fair Trade จะเติบโตเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยที่จะขายสินค้าเกษตรได้ในราคาสูงขึ้น ทั้งนี้ การผลักดันให้เกิดแนวทางสนับสนุนการค้า Fair Trade และสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าที่มาจากการค้าที่เป็นธรรมไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่นำไปสู่ความเท่าเทียมในสังคม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคเกษตรกรรม
 

#สนค #ข่าววันนี้ #FairTrade #การค้า #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

นายกฯ ส่งเสริมการค้าชายแดน-ผ่านแดน สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์ทางการค้าอย่างใกล้ชิด

นายกฯ ส่งเสริมการค้าชายแดน-ผ่านแดน สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์ทางการค้าอย่างใกล้ชิด เชื่อมีสัญญาณขยายตัวดีขึ้น ส่งเสริมจัดกิจกรรม งานมหกรรมการค้าชายแดนปี 2567 เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย

วันนี้ (11 ส.ค. 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ดำเนินนโยบายระหว่างประเทศด้วยความเป็นมิตร ส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกันในทุกระดับ เพื่อเพิ่มตัวเลขมูลค่าการค้าชายแดน-ผ่านแดน สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์การค้าอย่างใกล้ชิด โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดน-ผ่านแดน ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งสัญญาณบวก ขยายตัวที่ 3.6% พร้อมสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าชายแดนใน งานมหกรรมการค้าชายแดนปี 2567 กระตุ้นเศรษฐกิจการค้าชายแดน สร้างพันธมิตรทางการค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศคู่ค้า สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไทย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินนโยบายตามแนวทางของนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศ ติดตามสถานการณ์การค้าชายแดนและผ่านแดนอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ จากการดำเนินงานที่ผ่านมา กรมการค้าต่างประเทศ ได้เปิดเผยสถิติข้อมูลการค้าชายแดนและผ่านแดน ในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2567 ที่มีสัญญาณที่ดี อยู่ในแดนบวก โดยมีมูลค่าการค้ารวม 912,283 ล้านบาท (+3.6%) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไทยส่งออก 534,316 ล้านบาท (+3.1%) ส่วนมูลค่าการนำเข้าของไทยอยู่ที่ 377,968 ล้านบาท (+4.3%) โดยที่ไทยได้ดุลการค้า 156,348 ล้านบาท

สำหรับมูลค่าการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ในช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่าการค้ารวม 493,470 ล้านบาท(+2.6%) โดยมูลค่าการค้าสูงสุดตามลำดับ ได้แก่ ลาว มีมูลค่าสูงสุด 150,697 ล้านบาท มาเลเซีย 149,361 ล้านบาท เมียนมา 106,630 ล้านบาท และ กัมพูชา 86,783 ล้านบาท ซึ่งจากมูลค่าการค้ารวมทั้งหมด แบ่งเป็นการส่งออก 305,452 ล้านบาท (+1.5%) ในส่วนของการนำเข้าอยู่ที่ 188,019 ล้านบาท ทำให้ไทยได้ดุลการค้ารวม 117,433 ล้านบาท จากสินค้าส่งออกชายแดนที่สำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล 23,109 ล้านบาท น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ 10,432 ล้านบาท และน้ำยางข้น 8,221 ล้านบาท

สำหรับมูลค่าการค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม ช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่าการค้ารวม 418,813 ล้านบาท (+4.8%) โดยการค้าผ่านแดนไปจีนมีมูลค่าสูงสุดที่ 244,175 ล้านบาท (+14.3%) สิงคโปร์ 53,137 ล้านบาท และเวียดนาม 36,269 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งจากมูลค่าการค้ารวมทั้งหมด แบ่งเป็นการส่งออก 228,864 ล้านบาท (+5.4%) และการนำเข้า 189,949 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.0% โดยสินค้าส่งออกผ่านแดนสำคัญ ได้แก่ ทุเรียนสด 67,601 ล้านบาท ฮาร์ด ดิสก์ ไดรฟ์ 40,957 ล้านบาท และยางแท่ง TSNR 19,500 ล้านบาท

จากข้อมูลการค้าชายแดน-ผ่านแดน ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงปัจจัยบวกที่มีเพิ่มขึ้น ที่ส่งผลให้มูลค่าทางการค้าเพิ่มมากขึ้น เป็นข้อพิสูจน์ถึงการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดกิจกรรม ส่งเสริมการค้าชายแดน-ผ่านแดน งานมหกรรมการค้าชายแดนปี 2567 ระหว่างวันที่ 15 – 18 สิงหาคม 2567 ที่จังหวัดสงขลา บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการค้าภายใน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) โดยภายในงานจะมีการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า ประชุมติดตามสถานการณ์การค้าชายแดน เจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ และสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าชายแดน

“นายกรัฐมนตรีผลักดันความสัมพันธ์กันเพื่อนบ้าน ให้เป็นไปด้วยมิตรไมตรี เห็นความสำคัญของการค้าชายแดน-ผ่านแดน เชื่อว่าจะเป็นโอกาสกระจายรายได้แก่ประชาชนในพื้นที่ ให้คนในพื้นที่ลืมตาอ้าปาก และเชื่อว่าเป็นตลาดที่สำคัญของการส่งออกสินค้าของไทย พร้อมสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อพิจารณาต่อยอด เพิ่มพูนประโยชน์ทางด้านการค้าระหว่างประเทศกับเพื่อนบ้าน และประเทศคู่ค้าที่สำคัญ เพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีของประชาชนในพื้นที่ และเพิ่มมูลค่าการค้าให้เศรษฐกิจไทย” นายชัย กล่าวนายกฯ ดำเนินนโยบายด้วยมิตรภาพกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่งเสริมการค้าชายแดน-ผ่านแดน สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์ทางการค้าอย่างใกล้ชิด เชื่อมีสัญญาณขยายตัวดีขึ้น ส่งเสริมจัดกิจกรรม งานมหกรรมการค้าชายแดนปี 2567 เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย

รบ.เชื่อมั่น FTA อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ฉบับอัพเกรดสร้างประโยชน์ทางการค้า

นายกฯ มุ่งมั่นยกระดับการค้าระหว่างประเทศ เชื่อมั่น FTA อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ฉบับอัพเกรดจะเสริมสร้างการใช้ประโยชน์ทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิกได้อย่างเต็มที่

วันที่ 16 มิ.ย.67 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินหน้าส่งเสริมการค้าและการลงทุนกับนานาประเทศอย่างต่อเนื่อง แสวงหาโอกาสและพันธมิตรทางการค้าทั้งเก่าและใหม่ พร้อมมุ่งยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (ASEAN-Australia-New Zealand Free Trade Agreement: AANZFTA) เพื่อให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น อำนวยความสะดวกทางด้านการค้าและพิธีการทางภาษีต่าง ๆ ส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ พร้อมสนับสนุนการบังคับใช้ข้อตกลง FTA อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ฉบับเพิ่มเติมภายในปี 2567 เพื่อเสริมสร้างผลประโยชน์ด้านการค้าระหว่างประเทศและเศรษฐกิจไทย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 26-31 พฤษภาคม 2567 กระทรวงพาณิชย์ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้เข้าร่วมการประชุมกับคณะกรรมาธิการร่วมความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ครั้งที่ 21 รวมถึงการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ นครโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งจากผลการเจรจาในครั้งนี้ได้มีการเร่งรัดการดำเนินการในหลากหลายด้าน ได้แก่ การเร่งรัดการปรับโอนตารางการลดภาษีสินค้าให้เป็นปัจจุบันมากขึ้น การพัฒนากฎระเบียบด้านการลงทุน การจัดทำคู่มือปฏิบัติสำหรับการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) แบบเต็มส่วน การสนับสนุนกิจกรรมเพื่อพัฒนาศักยภาพประเทศสมาชิกอาเซียนในการปฏิบัติตามพันธกรณี ความร่วมมือเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจMSMEs และการส่งเสริมบทบาทของสตรีในภาคธุรกิจ นอกจากนี้ได้มีความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการต่าง ๆ รวมถึงเน้นย้ำการเจรจาในการดำเนินการบังคับใช้ FTA ฉบับเพิ่มเติมภายในปี 2567 ตามเป้าหมายที่สมาชิกเห็นชอบร่วมกัน สนับสนุนการขยายห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค และการอำนวยความสะดวกทางการค้าการลงทุนที่เพิ่มขึ้นระหว่างประเทศสมาชิก

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทยอันดับที่ 7 และ 31 ตามลำดับ โดยในช่วงเดือน มกราคม-เมษายน 2567การค้าระหว่างไทยกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ มีมูลค่า 7,105.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.74 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกสินค้าไปออสเตรเลียเป็นมูลค่า 4,174.34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.59 สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ นอกจากนี้ ไทยส่งออกสินค้าไปนิวซีแลนด์เป็นมูลค่า 529.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.55 โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และน้ำตาลทราย ซึ่งจากการเจรจาในครั้งนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างประเทศสมาชิกตามข้อตกลง FTA ที่ได้มีการผลักดันตามเป้าหมายที่วางไว้ 

“นายกรัฐมนตรีมุ่งเสริมสร้างความเป็นพันธมิตรกับนานาประเทศรักษาตลาดเดิม และพร้อมเปิดกว้างสำหรับตลาดใหม่ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นว่า FTA คือ วาระสำคัญที่จะช่วยเพิ่ม Volume การค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเร่งรัดกระบวนการเจรจาเพื่อเข้าถึงโอกาสทางการค้าการลงทุนให้มากขึ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าด้วยยุทธศาสตร์การทำงานของรัฐบาลจะพัฒนาการค้าของไทย และเพิ่มผลประโยชน์ร่วมกันในภูมิภาคได้มากขึ้น” นายชัย กล่าว

‘แพทองธาร’ นำ ‘เพื่อไทย’ พบ ‘รมว. จีน’ หารือความร่วมมือทางการค้าและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีในอนาคต

‘แพทองธาร’ นำ ‘เพื่อไทย’ พบ ‘รมว. จีน’ หารือความร่วมมือทางการค้าและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีในอนาคต

วันที่ 31 มีนาคม 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ และรัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และโฆษกพรรคเพื่อไทย นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย นางสาววิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ สส.เชียงราย และรองประธานกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย นายพลนชชา จักรเพ็ชร กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย และนางสาวชยิกา วงศน์ภาจันทร์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต้อนรับ พณฯ ท่านหลิว เจี้ยนเชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิเทศสัมพันธ์แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ หาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ณ สำนักงานใหญ่พรรคเพื่อไทย กรุงเทพมหานคร

นางสาวแพทองธาร ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าวต้อนรับ  พณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิเทศสัมพันธ์แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ในการนี้ว่าถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับมิตรที่มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน และถือเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ไม่ว่าจะเป็นในด้านเศรษฐกิจ นโยบายการต่างประเทศต่างๆ และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ซึ่งประเทศจีนถือเป็นประเทศแรกนอกอาเซียนที่นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ไปเยือนหลังได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นการแสดงถึงความสำคัญที่รัฐบาลไทยชุดใหม่ที่มีต่อประเทศจีน

นางสาวแพทองธาร ได้ร่วมพูดคุยถึงประเทศไทยภายใต้การนำของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มีแผนการดำเนินนโยบายเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศผ่านการวางโครงสร้างการขนส่งทั้งระบบรถไฟ และโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะเชื่อมต่อเส้นทางการค้าไทย-จีน ให้สะดวกมากขึ้น ในปัจจุบันจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย ในขณะที่ไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 13 ของจีน โดยมีมูลค่าการค้ารวม 105,404 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้การลงทุนของนักลงทุนชาวจีนยังถือว่าเป็นชาวต่างชาติที่ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในไทยประจำปี 2565 ตนหวังว่านอกจากการสนับสนุนการสร้างงานและสินค้าท้องถิ่นไทยแล้ว บริษัทจากประเทศจีนจะช่วยส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนานวัตกรรมไทยในระยะยาวอีกด้วย

นางสาวแพทองธาร ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ยังได้ใช้โอกาสนี้พูดถึง นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ และ 30 บาทรักษาทุกที่ ที่พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และหวังว่าในอนาคต นโยบายทั้งสองจะเป็นส่วนที่ทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีนเติบโต และมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนเทคโนโลยี วิจัยทางการแพทย์ร่วมกัน

ขณะที่นายหลิว เจี้ยนเชา กล่าวว่า ไทยเป็นมิตรแท้ของจีนมาโดยตลอดตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ และ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และรู้สึกประทับใจที่นางสาวแพทองธาร ที่เป็นนักการเมืองหญิงรุ่นใหม่ มาต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยตัวเอง และยังมีวิสัยทัศน์ด้านความร่วมมือระหว่างไทย-จีนที่ครอบคลุมรอบด้าน ทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับโครงการสายแถบและเส้นทางของจีน (BRI) โดยฝ่ายจีนยินดีร่วมกันทำงานอย่างใกล้ชิดกับไทยเพื่อเร่งผลักดันให้รถไฟฟ้าความเร็วสูง ระยะที่ 1 และ ระยะที่ 2 ที่จะเชื่อมโยงจีน-ลาว-ไทย อย่างมีนัยยะสำคัญ จึงต้องวางแผนล่วงหน้าเพื่อโครงการนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ฝ่ายจีนยังได้แสดงความยินดีที่ทางมาเลเซียได้ตอบรับการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟฟ้า ไทย-มาเลเซียอย่างแข็งขันอีกด้วย เพราะจะเป็นการสานต่อให้รถไฟในภูมิภาคเอเชียเกิดขึ้นจริงได้

สุดท้าย นายหลิว เจี้ยนเชา กล่าวว่า จีนพร้อมให้ความร่วมมือกับไทยในทุกมิติ และทราบว่านางสาวแพทองธาร เป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ  ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่สำคัญ สำหรับการดึงดูดของนักท่องเที่ยวและส่งเสริมแบรนด์สินค้าท้องถิ่น โดยฝ่ายจีนเชื่อว่าประเทศจีนเป็นหุ้นส่วนที่ดีที่สุดของประเทศไทย และยังไม่มีคณะกรรมาธิการซอฟต์พาวเวอร์ จึงหวังที่จะแลกเปลี่ยนศึกษาเรียนรู้จากประเทศไทย ด้วยการเสนอให้ไทยจัดตั้งศูนย์ซอฟต์พาวเวอร์ไทยในกรุงปักกิ่ง พร้อมเชิญนางสาวแพทองธารเยือนจีนอย่างเป็นทางการในโอกาสแรก เพื่อส่งเสริมผลักดันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศในทุกมิติต่อไป

“ภูมิธรรม” ลุยถกรองนายกฯการเงิน-รัฐมนตรีคลังฮ่องกง หนุนการค้า-ลงทุนไทย-ฮ่องกง

“ภูมิธรรม” ลุยถกรองนายกฯการเงิน และรัฐมนตรีคลังฮ่องกง หนุนการค้า-ลงทุนไทย-ฮ่องกง พร้อมนำพาณิชย์จับมือสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) แชร์ข้อมูล ดันเอสเอ็มอีขึ้นแพลตฟอร์มเพิ่มมูลค่าการค้าไทย

วันที่ 11 มีนาคม 2567 เวลา 15.30 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับนายพอล ชาน รองนายกรัฐมนตรีด้านการเงิน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และนายคริสโตเฟอร์ หุย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังฮ่องกง โดยมีนายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เข้าร่วม ว่า ได้ชื่นชมการดำเนินงานด้านการส่งเสริมการค้าและการลงทุนของฮ่องกง เช่น หน่วยงาน Invest Hong Kong และองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดีเยี่ยมของกระทรวงพาณิชย์ ในการสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยเฉพาะ HKTDC ที่มีความร่วมมือที่ดีต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง และช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่ดีที่จะได้กระชับความสัมพันธ์และเพิ่มมูลค่าทางการค้าได้ เนื่องจากทางฮ่องกงแจ้งว่าเศรษฐกิจของฮ่องกงกำลังเติบโตขึ้นและกิจกรรมทางการค้ากำลังฟื้นตัวในทิศทางที่ดี

นอกจากนี้ ระหว่างการหารือ นายภูมิธรรม ได้กล่าวเพิ่มว่า ขณะนี้รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการผลักดันนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ จำนวน 11 สาขา ภายใต้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และแน่นอนว่า 1 ใน 11 สาขาดังกล่าว คือ สาขาภาพยนตร์และซีรีส์ ที่ทางฮ่องกงและ HKTDC ได้จัดงาน FILMART ขึ้น ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสร้างโอกาสทางการค้าให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์และซีรีส์ของไทยให้สามารถเข้าถึงตลาดโลกได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น ตลอดจน ข้อตกลงความร่วมมือทางการค้า(MOU) ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) ที่ลงนามในวันเดียวกันนี้ จะเป็นการต่อยอดความร่วมมือด้านภาพยนตร์ในเชิงลึกและยังเป็นการขยายการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ในสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

สำหรับงานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ MOU ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) ในวันนี้ จะช่วยส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-ฮ่องกงให้ขยายตัวได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นสำหรับความร่วมมือภายใต้ MOU ประกอบด้วย 1) การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้า อาทิ ข้อมูลโอกาสทางธุรกิจ ข้อมูลสถิติการค้า ข้อมูลเศรษฐศาสตร์มหภาค 2) การสนับสนุนกิจกรรมทางการค้า เพื่อยกระดับความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของธุรกิจ SMEs และ 3) การร่วมมือในการส่งเสริมการค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ อาทิ สนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านระบบอีคอมเมิร์ซระหว่างกัน HKTDC สนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าของสินค้าไทยในแพลตฟอร์มออนไลน์

พาณิชย์เผยภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจการค้าปี 66 ส่วนใหญ่ขยายตัวไม่มากนัก ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น

พาณิชย์เผยภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจการค้าปี 66 ส่วนใหญ่ขยายตัวไม่มากนัก ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น จับตาขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภัยธรรมชาติ และมาตรการภาครัฐใกล้ชิด

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจการค้าเฉลี่ยปี 2566 โดย ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนน ขยายตัวไม่มากนักและชะลอตัวจากปี 2565 อย่างชัดเจน ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต และดัชนีราคานำเข้า ลดลงจากปี 2565 การชะลอตัวและลดลงของดัชนีราคาในปีนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการลดลงของราคาพลังงาน ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของภาครัฐ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ปรับตัวเพิ่มขึ้น และอยู่ในระดับที่มีความเชื่อมั่นตลอดทั้งปี ทั้งนี้ ในปี 2567 คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างจะชะลอตัวลงจากปี 2566 ส่วนดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนนในไตรมาสแรกของปี 2567 คาดว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566 จากมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานของภาครัฐที่มีต่อเนื่องจากปี 2566 ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้า คาดว่าจะขยายตัวเล็กน้อย ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นและอยู่ในช่วงความเชื่อมั่น จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย และภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 

1) ดัชนีราคาผู้บริโภค เฉลี่ยทั้งปี 2566 เมื่อเทียบกับปี 2565 สูงขึ้นร้อยละ 1.23 (AoA) ชะลอตัวค่อนข้างมากจากปี 2565 ที่สูงขึ้นร้อยละ 6.08 ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินระหว่างร้อยละ 1.0 – 3.0 เนื่องจากราคาสินค้าบางกลุ่มปรับลดลงอย่างชัดเจน อาทิ น้ำมันเชื้อเพลิง ที่ลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ รวมถึงเนื้อสุกร และเครื่องประกอบอาหาร อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยราคาสินค้าส่วนใหญ่ยังคงปรับสูงขึ้นตามการบริโภคที่ขยายตัวต่อเนื่อง ปี 2566 จึงยังไม่มีสัญญาณที่สะท้อนว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 คาดว่าจะชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2566 และอยู่ในระดับต่ำ ระหว่างร้อยละ (-0.3) – 1.7 ค่ากลางร้อยละ 0.7 เนื่องจากภาครัฐมีแนวโน้มดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง 

2) ดัชนีราคาผู้ผลิต เฉลี่ยทั้งปี 2566 เทียบกับปี 2565 ลดลงร้อยละ 2.4 (AoA) ตามราคาพลังงานในตลาดโลกที่ปรับลดลง ส่งผลให้ราคาสินค้ากลุ่มปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องลดลงค่อนข้างมาก ประกอบกับปัจจัยกดดันด้านอุปสงค์ จากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวไม่เป็นไปตามที่คาด การแข็งค่าของเงินบาท และภาคการส่งออกที่ลดลง ส่งผลให้ทั้งผลผลิตและราคาสินค้าในภาคอุตสาหกรรมของประเทศ โดยเฉลี่ยปรับลดลงกว่าปี 2565 อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์อาหารยังคงปรับตัวสูงขึ้น จากความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหารที่เกิดขึ้นทั่วโลกจากสภาพอากาศแปรปรวน สำหรับแนวโน้มปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวเล็กน้อย จากภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในมิติต่าง ๆ ที่ช่วยเพิ่มอุปสงค์โดยรวมของประเทศ และฐานราคาปี 2566 ที่อยู่ระดับต่ำ

3) ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง เฉลี่ยทั้งปี 2566 เทียบกับปี 2565 สูงขึ้นร้อยละ0.1  (AoA) ชะลอตัวค่อนข้างมากจากปี 2565 ที่สูงขึ้นร้อยละ 5.7 โดยได้รับแรงกดดันจากราคาสินค้าหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณเหล็กส่วนเกินที่เกิดจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีน กดดันให้ราคาเหล็กปรับลดลงทั้งตลาดโลกและไทย ประกอบกับช่วงไตรมาสที่ 4 ภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้น และการลงทุนในโครงการภาครัฐปีงบประมาณ 2567 ที่ล่าช้า ทำให้ความต้องการวัสดุก่อสร้างในภาพรวมลดลง สำหรับแนวโน้มปี 2567 คาดว่าจะทรงตัวและอยู่ระดับใกล้เคียงกับปี 2566 โดยมีปัจจัยกดดันจากปัญหาหนี้สินครัวเรือนอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูงรวมทั้งการลงทุนภาครัฐที่ล่าช้าจากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่อาจลดลงจากมาตรการของภาครัฐ 

4) ดัชนีราคาส่งออก เฉลี่ยทั้งปี 2566 เทียบกับปี 2565 สูงขึ้นร้อยละ 1.1 (AoA) ชะลอตัวจากปี 2565 ที่สูงขึ้นร้อยละ 4.2 เนื่องจากความต้องการสินค้าในภาพรวมชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก ประกอบกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ได้ส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนโลกชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าเกษตรกรรมปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากปริมาณผลผลิตได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง สำหรับแนวโน้มปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามต้นทุนด้านพลังงานและค่าขนส่งที่ยังอยู่ในระดับสูง จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ และวัฏจักรการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะกลับมาขยายตัวตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น

5) ดัชนีราคานำเข้า เฉลี่ยทั้งปี 2566 เทียบกับปี 2565 ลดลงร้อยละ 0.9 (AoA) จากปี 2565 ที่สูงขึ้นร้อยละ 11.1 ตามการลดลงของราคานำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ สำหรับแนวโน้มปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามราคาวัตถุดิบนำเข้า และราคาพลังงานที่อาจปรับตัวสูงขึ้น ตามความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลก ประกอบกับฐานราคาปี 2566 ที่อยู่ระดับต่ำ

6) อัตราการค้า (Term of Trade) ของไทย ซึ่งเป็นตัวชี้วัดรายได้จากการส่งออกเทียบกับรายจ่ายจากการนำเข้า ทยอยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปี 2565 โดยในเดือนธันวาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 99.4 อย่างไรก็ตาม อัตราการค้าตลอดปี 2566 อยู่ระดับต่ำกว่า 100 สะท้อนว่า ประเทศไทยมีความเสียเปรียบทางโครงสร้างราคาระหว่างประเทศ เนื่องจากรายจ่ายจากการนำเข้าสูงกว่ารายได้จากการส่งออก และคาดว่าปี 2567 จะอยู่ระดับต่ำกว่า 100 ต่อไปอีกระยะหนึ่ง

7) ดัชนีค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนนเฉลี่ยทั้งปี 2566 เทียบกับปี 2565 สูงขึ้นร้อยละ 1.9 (AoA) จากความต้องการขนส่งสินค้าทางถนนที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการสูงขึ้นของค่าแรง อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจากตลาดโลกซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการให้บริการขนส่งทางถนน และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ ส่งผลให้ดัชนีฯ ชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 2 และ 3 และหดตัวในไตรมาสที่ 4 ตามลำดับ สำหรับแนวโน้มในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566 คาดว่าจะลดลง เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานของภาครัฐที่คาดว่าจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

8) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเฉลี่ยทั้งปี 2566 อยู่ที่ระดับ 54.2 อยู่ในช่วงเชื่อมั่น (สูงกว่าระดับ 50) และปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 46.2 ปี 2565 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมากที่สุดตลอดปี 2566 คือ ด้านเศรษฐกิจไทยที่มีทิศทางฟื้นตัว และมาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สำหรับแนวโน้มปี 2567 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปี 2566 และอยู่ในช่วงความเชื่อมั่น ตามภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว และการส่งออกที่จะปรับตัวดีขึ้น

นายพูนพงษ์ กล่าวสรุปว่า แม้ดัชนีเศรษฐกิจการค้าส่วนใหญ่ในปี 2567 จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระดับที่ไม่สูงมากนัก แต่ยังคงมีปัจจัยที่อาจทำให้ดัชนีเศรษฐกิจการค้าไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ อาทิ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าสำคัญ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภัยธรรมชาติ และมาตรการภาครัฐ ซึ่ง สนค.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ดัชนีเศรษฐกิจการค้ามีความถูกต้อง แม่นยำ สอดคล้องกับสถานการณ์ และสามารถนำไปใช้ประกอบการดำเนินมาตรการต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับการดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์ในปี 2566 และจะดำเนินการต่อเนื่องในปี 2567 คือ การร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างเข้มข้นในการกำกับดูแลราคาสินค้าให้มีความเหมาะสม มีปริมาณเพียงพอ ดำเนินมาตรการลดราคาสินค้าอุปโภค – บริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพ ผลักดันภาคการส่งออก เร่งเจรจาการค้า รวมถึงเร่งขยายโอกาสและเพิ่มประสิทธิภาพให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ตามนโยบาย “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” เพื่อให้เศรษฐกิจการค้าของไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีความเข้มแข็ง สามารถรับมือกับความท้าทายต่างๆได้อย่างยั่งยืน 

#กระทรวงพาณิชย์ #การค้า #ผู้บริโภค