“ทนายดัง” เตรียมพาผู้บริจาคเงินวัดพระบาทน้ำพุ 5 ล้าน แจ้งความ”กองปราบ” ปมนำเงินไปใช้ไม่ตรงวัตถุประสงค์

“ทนายดัง” เตรียมพาผู้บริจาคเงินวัดพระบาทน้ำพุ 5 ล้าน แจ้งความ”กองปราบ” ปมนำเงินไปใช้ไม่ตรงวัตถุประสงค์

วันที่ 24 สิงหาคม 2568 นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า พรุ่งนี้จะพาทนายพร้อมผู้บริจาคเงินวัดพระบาทน้ำพุที่มียอดบริจาคกว่า 5 ล้านบาท เข้าแจ้งความต่อ กองบังคับการปราบปราม (กองปราบ)

การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากผู้บริจาคยื้อปัญหามาหลายสัปดาห์ แต่ไม่ได้รับคำชี้แจงใด ๆ จากผู้เกี่ยวข้องว่า เงินบริจาคถูกนำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์หรือไม่ ทำให้ต้องใช้ช่องทางกฎหมายเข้าตรวจสอบความโปร่งใส

ทั้งนี้ การแจ้งความมีขึ้นท่ามกลางกระแสสังคมที่ตั้งคำถามถึงการใช้จ่ายเงินบริจาคของวัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งเป็นศูนย์ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยผู้บริจาคยืนยันว่าต้องการให้ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาเพื่อคุ้มครองสิทธิ์และความตั้งใจของผู้ร่วมทำบุญ

#วัดพระบาทน้ำพุ #เงินบริจาค #ธณณรงค์แก้วเพ็ชร์ #กองปราบ #ตรวจสอบเงินบริจาค #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้ #โปร่งใสตรวจสอบได้

กองปราบเร่งตรวจสอบกรณี “หมอดูชื่อดัง” นำชื่อวัดเปิดรับบริจาค

กองปราบเร่งตรวจสอบกรณี “หมอดูชื่อดัง” นำชื่อวัดเปิดรับบริจาค

เมื่อวันที่ 6 ส.ค. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวถึงกรณีมีหมอดูรายหนึ่งมีการนำชื่อวัดแห่งหนึ่งไปเปิดรับบริจาคเงินว่า ขณะนี้ทราบว่ามีผู้ร้องเรียนเรื่องดังกล่าวเข้ามายัง กก.1 บก.ปปป. แล้ว อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่องที่มีการแอบอ้างชื่อวัดและชื่อเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่ง โดยไปเกี่ยวข้องกับเงินบริจาค ซึ่งก็ต้องดูว่าหากนำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริง เจ้าอาวาสวัดดังกล่าวนำเงินไปทำอะไร 

ส่วนที่นักวิชาการคนหนึ่งบอกว่าอาจจะเข้าข่ายการฉ้อโกงหรือไม่นั้น   พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า คิดว่าอาจจะเข้าข่ายฉ้อโกง อย่างไรก็ตามจะต้องดูก่อนว่าเงินดังกล่าวถูกนำไปใช้อย่างไรต่อ หากเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ก็จะเป็นอีกเรื่องด้วย 

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากการเปิดบัญชีเป็นชื่อวัดเพื่อรับบริจาคแต่กรรมสิทธิ์ในการเบิกเงินมีแค่หมอดูเพียงคนเดียวสามารถทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ  ยืนยันว่า ไม่สามารถทำได้ การเอาชื่อวัดไปใช้ก็ต้องเอาไปให้วัด เพราะถือว่าเป็นบัญชีของวัด และในการเปิดบัญชีที่เป็นชื่อวัด จะต้องมีกรรมการวัด และมีเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่สามารถทำได้แค่บุคคลเดียว และทุกอย่างต้องเข้าระบบวัด

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวอีกว่า ถึงอย่างไรก็ตามจากเรื่องที่เกิด ทางเจ้าหน้าที่เองก็จำเป็นต้องตรวจสอบเจ้าอาวาสวัดด้วยเช่นเดียวกัน ว่าเงินที่ได้จากการบริจาคนำไปใช้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์หรือไม่ หากไม่ถูกวัตถุประสงค์ก็จะเข้าข่ายว่ามีความผิด นอกจากนี้ยังยกตัวอย่างกรณีของวัดไร่ขิง ที่อดีตเจ้าอาวาสตั้ง QR Code ที่ร้านค้าสวัสดิการ โดยอ้างว่าเป็นบัญชีวัดแต่เมื่อสแกนแล้วกลับเป็นบัญชีบุคคล 

เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะมีการขยายผลเรื่องหมอดูอย่างไร พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตนเองได้มีการพูดคุยกับ ผบก.ปปป. และ ผกก.1 บก.ปปป. หากดูแล้วว่าเข้าข่ายฉ้อโกงก็จะให้ทางกองปราบเข้าไปดูแลคดี แต่ถ้าเป็นการทุจริตตนเองจะเข้าไปดูแลเอง

กองปราบกัดไม่ปล่อย ตามรวบ “ชาติ โพธาราม” หนีคดีซิ่งกระบะพุ่งฝ่าวงล้อมชนเจ้าหน้าที่เจ็บ 2 นาย

กองปราบกัดไม่ปล่อย ตามรวบ “ชาติ โพธาราม” หนีคดีซิ่งกระบะพุ่งฝ่าวงล้อมชนเจ้าหน้าที่เจ็บ 2 นาย สุดท้ายหนีไม่พ้น เจอชุดหนุมานบุกรวบคาบ้านลูก

เมื่อวันที่ 4 ส.ค. พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. สั่งการ พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ป., นำกำลังจับกุมนายนพณัช (สงวนนามสกุล) อายุ 58 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ 432/2568 ลงวันที่ 1 ส.ค.2568 ข้อหา “พยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และ ทำให้เสียทรัพย์” โดยจับกุมตัวได้ที่ บ้านพักหลังหนึ่งในพื้นที่ ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี 

สืบเนื่องจากเมื่อปี 2565 ขณะตำรวจกำลังตั้งจุดตรวจจุดสกัดป้องปรามอาชญากรรมบนถนนหลวงในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี ระหว่างนั้นได้พบเห็นนายนพณัฐ ชาติ โพธาราม กำลังขับรถลักลอบขนแรงงานต่างด้าวเข้ามาในพื้นที่ จึงพยายามส่งสัญญาณเรียกให้หยุดรถ แต่ปรากฎว่า นายนพณัฐ  กลับเร่งเครื่องพุ่งขนฝ่าแนวกั้นจุดตรวจสกัดแล้วขับหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงขับรถไล่ติดตาม ก่อนไปพบรถคันดังกล่าวจอดทิ้งไว้อยู่ข้างทาง โดยมีกลุ่มแรงงานต่างด้าวจำนวน 20 คน นั่งหลบซ่อนตัวอยู่ภายในรถ ส่วน นายนพณัฐ อาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีไปได้ 

ต่อมาปี 2566 เจ้าหน้าที่สามารถแกะรอยติดตามจับกุมตัว นายนพณัฐ ได้ ก่อนนำตัวมาดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมาย เมื่อคดีเข้าสู่ชั้นการพิจารณาในชั้นศาล นายนพณัฐ ได้ยื่นขอประกันตัว แต่เมื่อได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว นายนพณัฐ กลับมีพฤติกรรมหลบหนี ไม่มารายงานตัวตามนัดหมาย ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี จึงทำการออกหมายจับ พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งไล่ล่าติดตามตัว 

กระทั่งเมื่อช่วงเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ กก.5 บก.ป. ได้สืบทราบว่านายนพณัฐ ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึง นายนพณัฐ เกิดไหวตัวทัน และ ยังคงมีพฤติกรรมต่อสู้ขัดขวางขับรถพุ่งชนฝ่าแนวล้อม จนเป็นเหตุให้มีตำรวจกองปราบบาดเจ็บ 2 ราย ส่วนตัว นายนพณัฐ หลบหนีไปได้เช่นเดิม 

หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวล่าสุด ทางพนักงานสอบสวน สภ.บางปะอิน จึงเร่งรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับ พร้อมลงพื้นที่สืบสวนร่วมกับตำรวจกองปราบ กระทั่งทราบว่าหลังก่อเหตุครั้งล่าสุดนายนพณัฐ ได้หนีมาซ่อนตัวที่บ้านพักของบุตรชาย ในพื้นที่ จ.นนทบุรี จึงจัดกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมานกองปราบ พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ครบมือ เข้าปิดล้อมจับกุมตัวได้ดังกล่าว 

อย่างไรก็ตามจากการสอบสวน นายนพณัฐ ยังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ จึงนำตัวส่ง สภ.บางปะอิน ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป 
 

กองปราบบุกค้น 14 จุด รวบ “เฮียอ๊อด” เจ้าของเพจดัง พัวพันขายรถให้โจรใต้ใช้ก่อเหตุระเบิด

กองปราบเปิดปฏิบัติการ “สยบขบวนการขายรถหลุดป้ายปลอม เล่มผี ภาษีเก๊” เข้าค้น 14 จุดทั่วประเทศ รวบเจ้าของเพจ “เฮียอ๊อด” เอี่ยวขายรถให้โจรใต้วางระเบิดป่วนเมือง

วันที่ 23 ก.ค.68 พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. สั่งการ พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ป. พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ จิราวัสน์ ผกก.3 บก.ป. พ.ต.ต.สุวิจักษณ์ รัตนพันธ์ สว.กก.3 บก.ป. นำกำลังจับกุม นายภาสวัฒน์ อายุ 48 ปี และ นายถิรวิทย์ อายุ 30 ปี ตามหมายจับหมายจับศาลอาญาที่ 4103 และ 4101/2568 ลงวันที่ 16 ก.ค.68 ข้อหา “ร่วมกันปลอมเอกสารราชการ”ได้ในพื้นที่ ต.ลำพยา อ.เมือง จ.นครปฐม และแขวงคลองสิบสอง เขตหนองจอก กรุงเทพฯ พร้อมของกลาง โทรศัพท์มือถือ 6 เครื่อง,รถยนต์ 8 คัน,ป้ายเสียภาษีประจำปี 6 แผ่นป้ายทะเบียน 5 แผ่น เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหมด 42 รายการ

สืบเนื่องจากการที่ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.ได้คิดค้นและผลักดันการนำ ระบบตรวจจับและอ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติ (License Plate Recognition System) นำมาใช้สนับสนุนภารกิจของตำรวจทางหลวง ก่อนตรวจยึดรถยนต์ BMW บนถนนมิตรภาพสวมทะเบียนปลอม จึงสอบสวนขยายผลทราบว่า รถยนต์คันดังกล่าวซื้อมาจาก เพจเฟซบุ๊ก ชื่อ “เฮียอ๊อด” เป็นเพจ ซื้อ-ขายรถยนต์ผิดกฎหมาย 

ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้แฝงตัวเข้าไป สมัครเป็นเพื่อนกับเพจ เฟซบุ๊ก “เฮียอ๊อด” เพื่อติดต่อล่อซื้อแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีประจำปีปลอมในราคา 2,500 บาท เมื่อได้รับพัสดุจึงทำการตรวจสอบ พบว่าชื่อผู้จัดส่งคือ นายถิรวิทย์ ผู้ต้องหามีประวัติอาชญากรรมเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสารและยาเสพติด เป็นเครือข่ายอาชญากรรมระดับชาติ ขบวนการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการซื้อขายรถยนต์และปลอมเอกสารทั่วไป แต่มีความเชื่อมโยงกับอาชญากรรมร้ายแรงระดับประเทศ เช่น กรณีล่าสุดที่ตำรวจภูธรภาค 8 ตรวจยึดรถกระบะซึ่งใช้ลักลอบขนระเบิด และตรวจสอบพบว่าเป็นรถที่ถูกซื้อขายในเครือข่ายเดียวกัน ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มวางระเบิดในพื้นที่ภาคใต้ ตรวจสอบพบมีรายได้หมุนเวียนปีละ 40-50 ล้านบาท เงินหมุนเวียนในเครือข่ายทั้งหมดมากกว่า 200 ล้านบาทต่อปี

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการจำนวน 2 ราย และหมายค้นต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในขบวนการ ทั้งเจ้าของเพจเฟซบุ๊กที่รับปลอมแปลงเอกสารราชการ ผู้จัดส่งแผ่นป้ายภาษีปลอม กลุ่มผู้ซื้อรถหลุดจำนำหรือรถที่ใช้ทะเบียนปลอม ตลอดจนกลุ่มผู้ซื้อแผ่นป้ายภาษีปลอมและบุคคลอื่นในเครือข่าย ก่อนสนธิกำลังเปิดปฏิบัติการ “CIB สยบขบวนการขายรถหลุด ป้ายปลอม เล่มผี ภาษีเก๊” กว่า 50 นาย ลงพื้นที่ตรวจค้นทั้งหมด 14 จุดทั่วประเทศ ใน จ.นครปฐม, กรุงเทพมหานคร, ร้อยเอ็ด, ขอนแก่น, ยโสธร, นครพนม, อุบลราชธานี, นครราชสีมา และสุรินทร์ สามารถจับกุม นายภาสวัฒน์ และนายถิรวิทย์ พร้อมของกลางดังกล่าว

จากการสอบสวน นายถิรวิทย์ รับสารภาพว่า ปลอมแปลงแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีรถยนต์ รายได้หลักมาจากการผลิตและจัดส่งแผ่นป้ายปลอม สร้างรายได้สูงเกือบหนึ่งล้านบาทต่อปี

ส่วน นายภาสวัฒน์ รับสารภาพว่า ขายรถหลุดจำนำผ่านเพจ “เฮียอ๊อด” และ “เสี่ยบัง ยอดแหลม” โดยทราบว่าเป็นรถผิดกฎหมาย และร่วมขายแผ่นป้ายภาษีปลอม ได้ส่วนแบ่งคันละ 2,000–5,000 บาท และแผ่นละ 200–300 บาทจึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ด่วน! ศาลจังหวัดสงขลาไม่ให้ประกันตัว 'สจ.กอล์ฟ' กับพวกรวม 7 คน

ด่วน! ศาลจังหวัดสงขลาไม่ให้ประกันตัว 'สจ.กอล์ฟ' กับพวกรวม 7 คน

วันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ภายหลังจากที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสงขลา นำตัวนายสิรดนัย พลายด้วง หรือ สจ.กอล์ฟ อายุ 28 ปี และลูกน้อง รวมทั้งสิ้น 7 คน ประกอบด้วย 1.นายสิรดนัย พลายด้วง หรือ สจ.กอล์ฟ อายุ 28 ปี 2.นายพงษ์เทพ หรือ หนึ่ง ฟรีด้อม อายุ 41 ปี 3.นายหนุ่มเสก  อายุ 34 ปี 4.นายรพีพงศ์  อายุ 40 ปี 5.นายจักรพงษ์  อายุ 45 ปี 6.นายศศรัณย์ อายุ 38 ปี 7.นายสรายุทธ  อายุ 32 ปี หลังจากร่วมกันก่อเหตุรุมทำร้าย ด.ต.นิสาธิต คงเทพ สังกัดกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 ได้รับบาดเจ็บ ขณะปฏิบัติหน้าที่เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย ประจำหน่วยเลือกตั้งที่ 7 หมู่ 2 ต.พะวง อ.เมือง จ.สงขลา ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล และนายกเทศมนตรีตำบลพะวง เมื่อวันที่ 11 พ.ค.68 ที่ผ่านมา

โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 คน ไปฝากขังต่อศาลจังหวัดสงขลา เนื่องจากครบกำหนดการควบคุมตัวที่โรงพัก โดยมีชุดคุ้มกัน และเจ้าหน้าที่ตำรวจป้องกันและปราบปราม สภ.เมืองสงขลา รวมทั้ง หน่วยปฏิบัติการพิเศษตำรวจภูธรภาค 9 จะสนธิกำลังกันในการคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 คน ไปฝากขังต่อศาลจังหวัดสงขลา ซึ่งทางตำรวจแจ้งดำเนินคดีรวมทั้งสิ้น 3 ข้อหา คือ 1.ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ 2.ต่อสู้ขัดขืนการจับกุม และ 3.อั่งยี่ซ่องโจร

ล่าสุดมีรายงานว่าศาลจังหวัดสงขลาไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้ง 7 คน ในชั้นศาลเนื่องจากเป็นคดีใหญ่สังคมให้ความสนใจ และกลัวจะยุ่งเหยิงกับพยาน และกระทำการอย่างอุกอาจทำร้ายเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติหน้าที่ทั้ง7 คน จึงถูกควบคุมตัวส่งเรือนจำจังหวัดสงขลาทันที

 

 

เตรียมพิจารณาโอนสำนวนคดี "สจ.กอล์ฟ" ให้กองปราบฯ รับผิดชอบ สะสาง ถอนรากถอนโคน

เตรียมพิจารณาโอนสำนวนคดี "สจ.กอล์ฟ" ให้กองปราบฯรับผิดชอบ ถอนรากถอนโคน

จากกรณีนายสิรดนัย พลายด้วง หรือ สจ.กอล์ฟ สจ.เขต 7 จ.สงขลา ลูกชายนายสมยศ พลายด้วง หรือโกถึก สส.สงขลา เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ ส่งลูกน้องไปรุมทำร้าย ด.ต.นิสาธิต คงเทพ ผบ.หมู่ กก.ตชด.43  ซึ่งทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในหน่วยเลือกตั้งที่ 7 ต.พะวง อ.เมือง จ.สงขลา เนื่องจากไม่พอใจที่ถูกห้ามถ่ายรูปในหน่วยเลือกตั้งขณะไปลงคะแนนกับภรรยา ต่อมาตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 คน และได้ทำการสอบสวนเพิ่มเติม พร้อมยืนยันว่าจะคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งหมดนั้น

เพจดาวแปดแฉกโพสต์ข้อความว่า ด่วน!! เตรียมพิจารณาโอนสำนวนคดี "สจ.กอล์ฟ" และพวก ทำร้ายตำรวจ ตชด. บริเวณคูหาเลือกตั้ง จาก สภ.เมืองสงขลา ให้ "กองปราบปราม" รับผิดชอบสะสางคดี #ถอนรากถอนโคน”

 

 

สองผัวเมียเข้าแจ้งความตำรวจกองปราบ เอาผิดบุคคลที่นำชื่อไปทำประกันวงเงิน 120 ล้าน  

วันที่ 9 พ.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.)  นางชลิดา พะละมาตย์ หรือต้นอ้อ เป็นหนึ่ง พา น.ส.พัชรวรินทร์ หรืออุ๊ และนายธนาญวัฒณ์ หรือโต้ง ผู้เสียหายสองสามีภรรยา เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน บช.ก. เพื่อเข้าแจ้งความเอาผิดบุคคลที่นำชื่อของผู้เสียหายไปสวมสิทธิ์ทำประกันชีวิตวงเงิน 120 ล้านบาท

นางชลิดา กล่าวว่า วันนี้พาผู้เสียหายมาแจ้งความที่กองปราบ เพราะเริ่มแรกผู้เสียหายพยายามแจ้งความ แต่เนื่องจากเหตุเกิดหลายพื้นที่ต่างจังหวัดจึงต้องมาที่กองปราบ ส่วนจะแจ้งความดำเนินคดีใครบ้างนั้น เบื้องต้นทราบว่ามี 2-3 ราย ส่วนกรมธรรม์อื่นๆ ที่มีทั้งลายเซ็นและตัวแทนประกันก็จะมีเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งจะต้องรอเอกสารจาก คปภ. เพื่อแจ้งความเอาผิดบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 

 อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ผู้เสียหายได้ลงบันทึกประจำวันไว้ในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและเป็นหลักฐานว่า ไม่เคยไปทำประกันมาก่อน ส่วนข้อกล่าวหาที่จะแจ้งดำเนินคดีกับผู้ที่มึส่วนเกี่ยวข้องในวันนี้นั้นขอให้ทางตำรวจเป็นผู้พิจารณาว่าเข้าข่ายความผิดใดบ้าง 

เบื้องต้นอาจเข้าข่ายความผิดข้อหา “ปลอมและใช้เอกสารปลอม” ในส่วนข้อหา “พยามฆ่าในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ” ตำรวจได้เรียกเข้าไปสอบปากคำหลังจากที่ตัวเองได้โพสต์เรื่องนี้ในเฟซบุ๊กว่าผู้เสียหายอาจถูกปองร้ายหรือไม่ ส่วนตัวมองว่าทางอีกฝ่ายพยายามเบี่ยงเบนประเด็น ถึงแม้ผู้เสียหายจะเคยเป็นผู้กระทำความผิดมาก่อนแต่ไม่ใช่จะต้องผิดตลอดไปทุกคนมีโอกาสที่จะปรับปรุงตัวได้และผู้ถูกกระทำก็ควรมีสิทธิ์ในการที่จะปกป้องตัวเอง และ ผู้เสียหายเองก็ไม่สามารถจ่ายเบี้ยประกันแต่ละปีที่ต้องจ่ายเงินประมาณ 2 ล้านบาทได้

น.ส.พัชรวรินทร์ กล่าวว่า ตอนแรกไม่ทราบว่าเป็นใครที่เป็นผู้รับผลประโยชน์ แต่เมื่อได้เอกสารมาจึงทราบว่าใครเป็นผู้รับผลประโยชน์  วันนี้จึงมาแจ้งความเอาผิดผู้รับผลประโยชน์โดยตัวแทนบางท่านเป็นญาติกับตัวเองและเคยมีคดีความกันมาก่อน  ยืนยันว่าตัวเองและสามีไม่ได้ทำประกันชีวิตกับตัวแทนคนไหนมาก่อน ส่วนกระบวนการของการทำประกันชีวิตผู้เอาประกันจะต้องลงลายมือชื่อด้วยตัวเอง ฉะนั้นลายเซ็นใบคำขอที่ประสงค์เอาประกันภัย สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นลายเซ็นของตัวเองหรือไม่ ทั้งนี้ไทม์ไลน์ก่อนหน้านี้ได้ฝากเอกสารไว้กับทนายความระหว่างศาลอ่านคำพิพากษาจึงไม่ได้นำเอกสารใดเข้าไปด้วย และทราบว่าทนายความรู้จักกับนางวัชรี นอกจากนี้ยังพบว่า การทำประกันภัยมีการนำบัตรประชาชนอันเก่าของตัวเองไปทำประกันภัย โดยหลังจากที่ตัวเองออกมาจากเรือนจำได้ทำบัตรประชาชนอันใหม่แล้ว  แต่ก็ยังพบว่ามีการใช้บัตรประชาชนใบเก่าไปทำกรมธรรม์ พร้อมยอมรับว่ารู้จักกับตัวแทนตัวแทนบริษัทประกันภัยเพียงคนเดียวที่เป็นญาติยืนยันว่าหลังจากพ้นโทษตัวเองไม่ได้มีการทำประกันภัย

ส่วนกรณีล่าสุดที่อีกฝั่งให้สัมภาษณ์ว่าตัวผู้เสียหายมีกรมธรรม์เพียง 2-3กรมธรรม์ แต่ความจริงของตัวเองมี 8 กรมธรรม์ ส่วนของสามีมีกว่า 10 กรมธรรม์ โดยเขายอมรับว่าเป็นคนทำกรมธรรม์เพื่อให้ครอบคลุมกับยอดหนี้ที่ได้เป็นหนี้อีกฝั่งไว้ ซึ่งล่าสุดมีการฟ้องร้องยอดหนี้จำนวน 50 ล้านบาท แต่พบมีการทำกรมธรรม์ของผู้เสียหายทั้งสองคนจำนวน 46 ฉบับ วงเงิน 120 ล้านบาท ส่วนเมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2565 สามีได้ประสบอุบัติเหตุ เหตุการณ์ดังกล่าวจึงทำให้มีความเคลือบแคลงใจสงสัยว่ามีการถูกประทุษร้ายหรือถูกลอบฆ่าเพื่อหวังเอาเงินประกัน และเชื่อว่าอาจจะมีผู้อยู่เบื้องหลัง

น.ส.พัชรวรินทร์ ฝากถึงบริษัทประกันภัยว่าตัวเองและสามียืนยันด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีเจตนาจะทำประกันชีวิต อยู่ดีๆ กลับมีเซอร์ไพรส์การทำประกันชีวิตเบื้องต้นพบมี 46 กรมธรรม์วงเงินคุ้มครอง 120 ล้านบาท จึงอยากให้มีการคัดกรอง ขั้นตอนการตรวจสอบการทำประกันให้มีความเข้มงวด และให้ตรวจสอบอัตลักษณ์เบื้องต้น หลังจากที่ตัวเองพ้นโทษมาแล้วมีคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เคยมีอยู่หนึ่งครั้งเคยติดต่อให้ตัวเองถ่ายรูปคู่กับบัตรประชาชนโดยอ้างว่าจะให้ความช่วยเหลือในการทำประกันสุขภาพให้เพื่อให้สามารถใช้สิทธิ์เบิกได้ เพราะขณะนั้นตัวเองกำลังตั้งท้องอยู่ ตัวเองจึงปักใจเชื่อเพราะตอนนั้นลำบากจึงยินดีส่งรูปคู่กับบัตรประชาชนไปให้นางวัชรีในไลน์ จึงไปสอบถามว่าการทำประกันสังคมมีขั้นตอนแบบนี้ด้วยหรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้คือไม่มี แต่ข้อสงสัยมาตลอดว่านำไปทำอะไรแต่ก็ไม่ได้สอบถามหรือทวงติง เพราะด้วยรายได้ในตอนนั้นยืนยันตัวเองไม่มีรายได้เพียงพอที่จะสามารถทำประกันเองได้ 

ด้าน นายธนาญวัฒณ์ ยืนยันไม่ได้มีการจดบริษัท เมื่อมีข้อสงสัยจึงไปสืบค้นที่จังหวัดว่าตัวเองมีชื่อในกรรมการบริษัท ยืนยันไม่เคยเซ็นสัญญาทุกอย่างสามารถตรวจสอบได้ด้วยลายมือชื่อ ไม่มีการตกลงเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ และไม่มีหลักฐานอะไรจะยืนยันว่าตัวเองจะเป็นหุ้นส่วน และหากมีลายเซ็นของตัวเองลายเซ็นนั้นจะต้องเป็นลายเซ็นปลอม 

ส่วนกรณีที่มีการทำประกันกับตัวแทนบริษัทประกันแห่งหนึ่งยืนยันว่ามีการพบเห็นตัวเองนั้น นายธนาญวัฒณ์ บอกว่า กรณีนั้นน่าจะมีคนสวมรอยเป็นตัวเอง ฝั่งตัวแทนประกันยืนยันว่าพบเห็นผู้ชายแต่เห็นไม่ชัด ขณะเดินเข้าไปในบ้าน และจ่ายเงินสด ทั้งนี้ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่นั่นโดยมีพยานบุคคลยืนยันได้ในวันนั้นตัวเองอยู่บ้านที่จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนที่มาที่ไปของบัญชีธนาคารกรุงไทย บัตรเอทีเอ็ม และสมุดบัญชีฝากไว้กับนางวัชรีเพื่อจะให้นางวัชรีไปนำเงินจำนวน 200,000 บาท ออกมาเพื่อเป็นการใช้หนี้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการคืนสมุดบัญชีและเอทีเอ็ม และยืนยันว่าตัวเองมีภรรยาเพียงคนเดียวคือ น.ส.พัชรวรินทร์ และมีลูกสองคน 

นายธนาญวัฒณ์ เล่าต่อว่า นางวัชรีเป็นส่วนกลางในการติดต่อคุณบอยให้ตัวเองรู้จัก เพื่อให้คุณบอยมาดูพื้นที่บ้านเพื่อทำธุรกิจจำนำรถและนำรถที่รับจำนำไปจอดไว้ โดยให้ตัวเองเป็นคนดูแลสถานที่จอดและอำนวยความสะดวกต่างๆโดยนางวัชรีนำเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองให้บอย และนำเบอร์ของบอยให้ตัวเอง รวมถึงได้มีการนัดหมายที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งและได้รับประทานอาหารและเครื่องดื่ม ขณะรับประทานอาหารมีการถ่ายภาพ ก่อนจะถูกรถชนจังหวะสุดท้ายเห็นเพียงแค่แสงแล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไร ส่วนคดีนั้นขณะนี้ยังไม่ได้ดำเนินการ แต่ได้มีการแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว ทั้งนี้ขอถามกลับไปถ้าตัวเองจะต้องเสียชีวิตจะยกเงินให้คนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวหรือไม่ 

“ยืนยันไม่มีการพูดคุยตกลงในส่วนที่เป็นหนี้กันว่าจะมีการทำประกันเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ เขาทำโดยพละการด้วยตัวเอง ตามที่เขากล่าวอ้างว่าเราเป็นหนี้เขาจำนวน 50 ล้านบาท” นายธนาญวัฒณ์ กล่าว

น.ส.พัชรวรินทร์ เล่าอีกว่า ลูกหนี้คดีแรกที่โดนฟ้องจะมาเป็นพยานให้ โดยคดีที่โดนฟ้องได้ไปตกลงยอมรับสภาพหนี้ ส่วนหนี้ 50 ล้านบาทจริงหรือไม่ ยืนยันว่าไม่จริงในคำฟ้องที่ฟ้องมาปล่อยเงินกู้ให้มากถึง 50 ล้านบาทและไม่มีการชำระเงินเลย ยอดหนี้ที่ตัวเองเป็นหนี้จริงๆ ประมาณ 10 ล้านบาท การให้เงินส่วนใหญ่เป็นการโอนเงินให้และเขียนเช็คให้ ได้ผ่อนชำระโอนคืนมีสเตทเม้นท์ยืนยันจำนวน 8 ล้านบาท ส่วนจุดแตกหักกับอีกฝั่งเพราะไม่ได้ผลประโยชน์ตามที่ตกลงไม่สามารถชำระต้นและชำระดอกตามที่ตกลงไว้ได้ 

ส่วนกรณีคุณแตงพยายามจบชีวิตตัวเอง น.ส.พัชรวรินทร์ บอกว่า ตัวเองและคุณแตงเป็นหนี้กันยอดประมาณ 5 ล้านบาท ช่วงเวลาที่เขาอ้างยืนยันว่าตัวเองยังอยู่ในเรือนจำ ไม่ทราบเรื่อง แต่มาทราบจากอีกฝ่ายบอกว่ามีคนจะผูกคอตาย ทั้งนี้อีกฝั่งเขาอ้างว่าทำธุรกิจกับคุณแตงโดยมีการเคลียร์ยอดหนี้กันไปแล้วจำนวน 6 ล้านบาท

กองปราบรวบ 18 มงกุฎปลอมเฟสบุ๊กเป็นผู้ว่ายะลา-ส.ส.พัทลุง หลอกยืมเงินคนใกล้ชิด เช็กประวัติหมายจับติดตัวเพียบ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ค.68 พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. สั่งการ พ.ต.อ.อนุสรณ์ ทองไสย ผกก.6บก.ป., พ.ต.ท.ธนาคาร อุชณรัศมี สว.กก.6 บก.ป. จับกุม นายประกอบ อายุ 38 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดยะลา ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงและร่วมกันใช้บัตรอิเลคทรอนิคโดยมิชอบเป็นเหตุให้ผู้อื่นเกิดความเสียหาย” และ หมายจับศาลจังหวัดพัทลุง อีก 2 หมายจับ ในข้อหา “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ และฉ้อโกงทรัพย์” โดยจับกุมตัวได้ที่ กระท่อมไม่มีเลขที่ หมู่ 14 ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา

สืบเนื่องจาก นายประกอบ ผู้ต้องหารายนี้ มักมีพฤติกรรม ปลอมเฟซบุ๊กแอบอ้างตัวเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา หรือแม้กระทั่ง ส.ส.พรรคหนึ่ง ในจังหวัดพัทลุง รวมไปถึงนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ จ.ยะลา และมพัทลุง ก่อนส่งข้อความไปขอยืมเงินคนใกล้ชิดของผู้ที่ถูกแอบอ้าง บ้างก็ทำทีขอเงินสนับสนุนซื้ออุปกรณ์กีฬาให้กับเด็กนักเรียน ที่ผ่านมามีผู้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อโอนเงินให้จำนวนหลายราย กระจายเข้าแจ้งความตามท้องที่ต่างๆจนมีการออกหมายจับหลายคดี แต่เนื่องด้วยผู้ต้องหารายนี้ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ทำให้การตามจับกุมตัวเป็นไปได้ยาก 

กระทั่งต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทราบว่าปัจจุบัน นายประกอบ ได้หลบหนีมาพักอาศัยอยู่กับภรรยาที่ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบที่บ้านพักเป็นกระท่อมไม้ตั้งอยู่ในสวนยางพารา แต่ระหว่างที่เจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าตรวจสอบ นายประกอบ เกิดไหวตัวทัน วิ่งหนีออกจากระท่อมพยายามจะหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงวิ่งไล่ติดตามไปก่อนสามารถตับกุมตัวได้ดังกล่าว 

สอบสวน นายประกอบ ให้การรับสารภาพ ว่า ได้สร้างเฟซบุ๊กปลอม แอบอ้างตัวเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ส.ส.จังหวัดพัทลุง และ บุคคลอื่นๆ อีกหลายคน เพื่อหลอกให้เหยื่อโอนเงินให้จริง เนื่องจากต้องการนำเงินไปซื้อยาเสพติดมาเสพ รวมถึงนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เบื้องต้น จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

กองปราบตามรวบยกแก๊ง เครือข่ายลักไฟหลวงขุดคริปโตฯ ทำรัฐเสียหายกว่า 50 ล้านบาท

กองปราบตามรวบยกแก๊ง เครือข่ายลักไฟหลวงขุดคริปโตฯ ทำรัฐเสียหายกว่า 50 ล้านบาท
 
เมื่อวันที่ 21 ก.พ.68 พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป., สั่งการ พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ป., พ.ต.ท.ฤทธิชัย ชุมช่วย รอง ผกก.5 บก.ป. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. นำกำลังจับกุม 6 ผู้ต้องหา แก๊งลักไฟหลวงขุดคริปโตฯ ทำรัฐเสียหายกว่า 50 ล้านบาท ประกอบด้วย นายไกรลาศฯ อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 6243/2567 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์”


นายณัฐพลฯ อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 6244/2567 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์”
นายจีรพงษ์ฯ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 6245/2567 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์”
น.ส.อัมพกาฯ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 6246/2567 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์”
นายภราดรฯ อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 6247/2567 ลงวันที่  19 ธันวาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์”
และ นายณัฐพงศ์ฯ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 ที่ 1/2568 ลงวันที่ 31 มกราคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “เป็นพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็นพนักงานเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ อื่นใดสำหรับตนเองหรือสำหรับผู้อื่นโดยมิชอบฯ”

เนื่องจาก เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เข้าตรวจค้นบ้านต้องสงสัยจำนวน 9 หลัง ในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงพบว่าบ้านทั้ง 9 หลัง เป็นที่สถานที่ติดตั้งเครื่องขุดเงินสกุลดิจิตัลกว่า 111 เครื่อง และได้ดัดแปลงมิเตอร์ไฟฟ้า เพื่อให้วัดค่าปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าได้น้อยกว่าความเป็นจริง จึงได้ตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ต่อมาจึงได้ทำการสืบสวนขยายผล จนพบเครือข่ายผู้กระทำความผิด ทั้งในส่วนของผู้เชื่อมต่อระบบไฟฟ้ากับเครื่องขุดเงินสกุลดิจิตัล (ผู้ดูแลเครื่อง), ช่างดัดแปลงมิเตอร์ไฟฟ้าฯ, ผู้ลงทุนซื้อเครื่องขุดเงินสกุลดิจิตัลเพื่อไปติดตั้งไว้บริเวณสถานที่ ที่มีการลักไฟฟ้า จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องขอหมายจับต่อศาลอาญา เพื่อจับกุมผู้ต้องหาข้างต้นตามลำดับที่ 1 - 5

ต่อมาวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม ได้สืบสวนพบโรงงานไม้แปรรูปแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีการลักกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้สำหรับเครื่องขุดเงินสกุลดิจิตัล จึงร่วมกับเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เข้าตรวจค้นโรงงานดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบเครื่องขุดเงินสกุลดิจิตัลติดตั้งอยู่ภายในโรงงานฯ กว่า 97 เครื่อง เมื่อเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตรวจสอบมิเตอร์ไฟฟ้าของโรงงานพบมีร่องรอยแก้ไขดัดแปลง เพื่อลักกระแสไฟฟ้า จึงได้ตรวจยึดของกลาง

ต่อมาจึงได้ทำการสืบสวนขยายผลจนทราบว่ามีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ฝ่ายมิเตอร์และหม้อแปลงที่รับผิดชอบมิเตอร์ในพื้นที่โรงไม้แปรรูปฯ ข้างต้น มีการเรียกรับสินบนเพื่อปกปิดข้อมูลการใช้ไฟฟ้าที่แท้จริง จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 เพื่อจับกุมผู้ต้องหาลำดับที่ 6เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม ก่อนเปิดปฏิบัติการจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ทั้งเครือข่าย

ผู้ต้องหาทั้ง 6 ราย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนผู้ต้องหาที่เป็นผู้ลงทุนซื้อเครื่องขุดเงินสกุลดิจิตัลให้การว่า ต้นเป็นผู้ลงทุนซื้อเครื่องฯไปวางไว้ตามจุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดได้ก่อนหน้านี้จริง แต่ไม่ทราบว่าผู้ดูแลเครื่องฯ ใช้วิธีการลักไฟฟ้ามา เพื่อใช้ในการขุดเงินสกุลดิจิตัล ก่อนตัวส่งพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ผู้การกองปราบลุยเอง นำกำลังหนุมานลงพื้นที่ปิดล้อมเมืองตรัง ค้น 21 จุด ล้างบางเครือข่ายยานรกข้ามชาติ

ผู้การกองปราบลุยเองนำกำลังหนุมานลงพื้นที่ปิดล้อมเมืองตรัง ลุยค้น 21 จุด ล้างบางเครือข่ายยานรกข้ามชาติ “บอล เขาวิเศษ” พฤติกรรมอำมหิตอุ้มฆ่าทวงหนี้ยา เกี่ยวพันคดียิงถล่มบ้านกว่า 61 คดี ซ้ำมีเอี่ยวกรณีหญิงสาวหายตัวปริศนาหลังพาไปทำงานประเทศเพื่อนบ้าน เผยเช็คเส้นเงินพบหมุนเวียนนับร้อยล้านบาท

เมื่อวันที่ 18 ก.พ.68 เวลา 05.00 น.พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว ผกก.6 บก.ป. ,พ.ต.อ.ภัทรพล ปัทมวงศ์ ผกก.สสน.บก.ป. พ.ต.ท.อนุสรณ์ ทองไสย รอง ผกก.6 บก.ป. นำกำลังเข้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.6 บก.ป. เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมานกองปราบ สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำ (บก.รน.) ตำรวจป่าไม้ (บก.ปทส.) ตำรวจภูธรจังหวัดตรัง และ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เปิดปฏิบัติการ ”“TAKEDOWN MAFIA ยานรก ตรัง-ท่าขี้เหล็ก” เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 21 จุด ในพื้นที่ จ.ตรัง นครศรีธรรมราช, กระบี่ และ นครปฐม เพื่อกวาดล้างเครือข่ายเครือข่ายยานรก “บอล เขาวิเศษ” หัวหน้าแก๊งยาเสพติดข้ามชาติ 

 

โดยเป้าหมายสำคัญจุดแรก อยู่ที่บ้าน ถ.รัษฎา ต.ทับเที่ยง อ.เมือง จ.ตรัง ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายสุทธินันท์  หรือตั๊ก อายุ 37 ปี น.ส.มุขดารินทร์  อายุ 29 ปี สองสามีภรรยา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา “ร่วมจําหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ,สมคบกันในลักษณะองค์กรอาชญากรรมยาเสพติด,ร่วมกันฟอกเงิน” เนื่องจากทั้งสองยังเป็นคนสนิทของ “บอล เขาวิเศษ” หรือ นายปราโมทย์  หัวหน้าขบวนการ คอยทำหน้าที่ในการบริหารจัดการบัญชีม้าที่ใช้รับโอนเงินค่ายาเสพติด รวมถึงการเบิกถอนเงินค่ายาเสพติด

โดยทันทีที่เจ้าหน้าที่ไปถึงพบผู้ต้องหาทั้งสองรายกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ภายในบ้าน จึงแสดงตัวเข้าทำการจับกุม พร้อมนำตัวพาเข้าตรวจค้นภายในบ้านพัก ก่อนทำการตรวจยึดทรัพย์สินเป็นเงินสดและทองคำได้จำนวนหนึ่ง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่อีกส่วนหนึ่งยังได้กระจายกำลังเข้าอายัดที่ดิน สวนปาล์ม และทรัพย์สินมีค่าของกลุ่มคนใกล้ชิดนายปราโมทย์ ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ตรัง ที่เชื่อว่าน่าจะได้มาจากการกระทำผิดกฎหมายอีกหลายรายการ 

สำหรับเครือข่ายยาเสพติดของ นายปราโมทย์ นั้นถือเป็นขบวนการค้ายาเสพข้ามชาติรายใหญ่ แม้ว่าปัจจุบันเจ้าตัวจะหลบหนีคดีจ้างวานฆ่า ไปกบดานซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา แต่ก็ยังคงคอยควบคุมสั่งการให้ลูกน้องในพื้นที่คอยนำยาเสพติดที่ลักลอบขนลำเลียงมาจากพื้นที่ภาคเหนือรอยต่อติดกับประเทศเพื่อนบ้าน มากระจายให้กับเอเย่นต์ยาเสพติดในพื้นที่ภาคใต้เป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง 

 

นอกจากนี้ตัว นายปราโมทย์ เองยังมีพฤติกรรมตั้งตัวเป็นผู้มีอิทธิพลเถื่อน คอยสั่งการมือปืน หรือ ลูกสมุนในเครือข่ายยาเสพติด ไปยิงถล่มบ้าน ยิงรถ พังทรัพย์สิน หรือ ตามอุ้มฆ่าลูกหนี้ที่ติดค้างเงินค่ายาเสพติด ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ในพื้นที่จังหวัดตรัง เฉพาะช่วงระหว่างปี 2564 ถึงปัจจุบัน มีเหตุลักษณะดังกล่าวที่เกิดจากเครือข่ายยาเสพติดของนายปราโมทย์มากกว่า 61 คดี จนส่งผลให้ชาวบ้านในพื้นที่ต่างหวาดกลัวอิทธิพลเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก 

โดยเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีจึงเริ่มแกะรอยสืบหาเบาะแส จนพบว่า มีการทำกันเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันอย่างเป็นระบบในลักษณะขององค์กรอาชญากรรม โดยมี นายปราโมทย์ เป็นหัวหน้าขบวนการ คอยประสานกับเครือข่ายยาเสพติดฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำยาผ่านข้ามแดนมาทางรอยต่อชายแดน จ.เชียงราย ก่อนจะสั่งการให้กลุ่มลูกน้องขนลำเลียงมายังพื้นที่ จ.ตรัง แล้วกระจายต่อให้กับเอเย่นต์ในพื้นที่ ซึ่งเงินค่ายาเสพติดส่วนใหญ่จะถูกโอนเข้าไปยังบัญชีม้าที่จัดเตรียมไว้ โดยมี นายชาญวิชหรือ นัย และ นาย สุทธินันท์ หรือ ตั๊ก คนสนิทของ นายปราโมทย์ เป็นคนถือครองบัญชีม้าเหล่านี้ จากนั้นจะทำการเบิกถอนออกมาเป็นเงินสด แล้วนำไปฝากเข้าบัญชีธนาคารของ น.ส.ธิยานันท์ (สงวนนามสกุล) ภรรยาของนายปราโมทย์ หรือ คนใกล้ชิด เพื่อนำไปฟอกเงินแปรเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินหรือนำไปลงทุนทำธุรกิจต่างๆเลี่ยงการตรวจสอบ 

นอกจากนี้จากแนวทางสืบสวนยังทราบว่า หลังจากได้เงินค่ายาเสพติดแล้ว นายปราโมทย์ ยังมักสั่งการให้ ลูกน้องไปตระเวนกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย แล้วนำเงินสดข้ามไปส่งมอบให้ยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เจ้าหน้าที่จึงเร่งรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องขบวนการดังกล่าวจำนวน 16 ราย จนนำมาซึ่งการเปิดปฏิบัติการในวันนี้ 

พล.ต.ต.วิทยา กล่าวว่า ที่ไปที่มาของคดีนี้เริ่มจากการจับกุมเอเยนต์ยารายย่อยในพื้นที่ จ.ตรัง จากนั้นจึงขยายผลต่อเนื่อง เพื่อแกะรอยรวบรวมพยานหลักฐานให้ถึงเครือข่ายใหญ่ที่เป็นหัวหน้าขบวนการ โดยใช้เวลาในการสืบสวนนานกว่า 6 เดือน จนสามารถทราบตัวบุคคลของกลุ่มเครือข่ายดังกล่าวทั้งหมด ทั้งกลุ่มที่ทำหน้าที่ค้ายา กลุ่มสมคบร่วมกระทำผิด บัญชีม้า คนกดเงิน หรือ กลุ่มคนที่ทำหน้าที่ฟอกเงิน และ คนที่ได้รับผลประโยชน์ จึงนำมาซึ่งการเปิดปฏิบัติการดังกล่าวขึ้นมา  โดยเป็นการบูรณาการกำลังร่วมกันหลายหน่วยงาน 

“เครือข่ายของ บอล เขาวิเศษ นับเป็นเครือข่ายใหญ่ แม้ตัวยาเสพติดของกลางที่เราเคยจับไปก่อนหน้านี้จะมีจำนวนไม่เยอะ แต่เมื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินย้อนหลังพบว่ามีเงินหมุนเวียนกว่าร้อยล้านบาท อีกทั้งยังพบว่าตัว นายปราโมทย์ เอง มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุอาชญากรรมรุนแรงหรือเหตุอุกฉกรรจ์ต่างๆในพื้นที่ อาทิ เหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงถล่มบ้านเรือนประชาชน เหตุอุ้มฆ่าทวงหนี้ค่ายาเสพติด หรือ คดีอื่นๆอีกมากมาย จนทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวเพราะเกรงอันตรายและอิทธิพลเถื่อน” ผบก.ป. กล่าว 

อีกทั้ง พ.ต.ท.อนุสรณ์ กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีคนติดค้างเงินค่ายาเสพติด นายปราโมทย์ จะสั่งให้กลุ่มลูกน้องนำอาวุธปืนไปยิงถล่มบ้านพัก หรือ ตามทำร้ายข่มขู่ พร้อมกันนี้ยังเชื่อว่า นายปราโมทย์ เองมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอุ้มฆ่าทวงหนี้ยาเสพติดหลายคดี หลังพบว่าลูกหนี้ยาเสพติดหลายรายสูญหายไปหลังจากเดินทางไปเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้สินกับนายปราโมทย์ที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน 

ด้าน พ.ต.อ.พรศักดิ์ กล่าวเสริมว่า จาก 21 เป้าหมายที่เข้าตรวจค้น เบื้องต้นจนถึงตอนนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายดังกล่าวได้แล้วจำนวน 8 ราย พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินที่เขื่อว่าได้มาจากการกระทำผิด อาทิ ที่ดิน สวนปาล์ม บ้านพัก รถ และทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ หลายรายการรวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท 

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า นอกเหนือลูกหนี้ค้างค่ายาเสพติดนายปราโมทย์ ที่ถูกอุ้มหายตัวไปแล้วนั้น ยังมีหญิงสาวอีกหลายรายที่เคยเป็นคนใกล้ชิดกับนายปราโมทย์ สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่มีใครทราบชะตาชีวิต หลังเดินทางข้ามไปฝั่งประเทศเมียนมา พร้อมกับ นายปราโมทย์ อีกด้วย จึงทำให้ตอนนี้นายปราโมทย์ ถือเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญที่เจ้าหน้าที่ต้องการตัวเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นภัยต่อสังคม