จับตากฤษฎีกา สอบคุณสมบัติ "ประธานกสทช." หลังผู้ตรวจฯพบพิรุจที่สำนักเลขานายกฯ หวั่นโดนอ้างปัญหาทางเทคนิคกม.ซ้ำอีก

วันที่ 4 สิงหาคม 2568 แหล่งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่หนึ่งซึ่งมีนายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธาน มีกำหนดจะพิจารณาข้อหารือจากสำนักผู้ตรวจการแผ่นดินในกรณีการขาดคุณสมบัติของ ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในวันพรุ่งนี้ (5 สิงหาคม  2568) เป็นที่น่าสนใจว่า ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายระดับประเทศจะวินิจฉัยอย่างไร

แม้จะมีการสรุปประเด็นว่า ประธาน กสทช.ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายไปโดยสิ้นสงสัยแล้ว ทั้งโดยคณะกรรมาธิการของทั้ง สว. และ สส. แต่มหากาพย์การดำเนินการเรื่องนี้ยังไม่จบ ประธานกสทช.ยังดำรงตำแหน่งต่อไป แม้จะมีองค์กรฯ สมาคมฯ ต่างๆ ได้ทักท้วงหลายครั้ง เรื่อง ความเสียหายที่เกิดขั้นจากการอนุมัติต่างๆ ของ ประธาน กสทช. ท่ามกลางความคลางแคลงใจของหลายๆ ฝ่าย

ล่าสุด ทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นในประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย หลังจากได้ทำหนังสือถามไปที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการณ์ตามกฎหมายกสทช. และเป็นผู้ดำเนินการขอโปรดเกล้าฯแต่งตั้งกสทช.ทั้งชุด แต่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีกลับส่งเรื่องไปให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณา ซึ่งจะนำเข้าในคณะที่หนึ่งในวันพรุ่งนี้

ประเด็นการขาดคุณสมบัติของประธานกสทช. เริ่มจากการร้องเรียนของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ต่อ ประธานวุฒิสภา ในวันที่ 28 กันยายน 2566 ซึ่งทางเลขาวุฒิสภาและประธานวุฒิสภาในขณะนั้นคือ ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย ได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา (กมธ.ไอซีที วุฒิสภาฯ) เป็นผู้พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง ซึ่งทางคณะกรรมาธิการไอซีทีก็ได้มีการสรุปผลการสอบหาข้อเท็จจริง และรายงานผลต่อประธานวุฒิสภา ผลการพิจารณาการ ตรวจสอบฯ ดังกล่าว โดยได้มีการนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา ครั้งที่ 16/2567 เมื่อ 5 กรกฎาคม 2567 สรุปว่า “ศาสตราจารย์ คลินิก นายแพทย์สรณฯ มีลักษณะเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ตามกฎหมาย ตาม พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 7 ข (12) มาตรา 4 และมาตรา 26 ประกอบกับ มาตรา 18 และมาตรา 20”

หลังจากวุฒิสภาชุดที่แล้วหมดอายุไปเดือนกรกฎาคม 2567 ทางคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายรังสิมันต์ โรม เป็นประธานได้นำประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา และมีตัวแทนจากทางคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานเลขาวุฒิสภา ตลอดจน สำนักงาน กสทช.เข้าร่วมให้ข้อมูลด้วย ซึ่ง สส.โรมได้สรุปในที่ประชุมแล้วว่า ในสาระสำคัญของการขาดคุณสมบัติของประธาน กสทช.นั้นสมบูรณ์ไร้ข้อสงสัยไปแล้ว เหลือเพียงการดำเนินการตามกระบวนการให้เป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น แม้ในกฎหมายได้ชี้ว่า นายกรัฐมนตรี ควรต้องเป็นผู้ดำเนินการ

ทั้งนี้ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีข้อหารือต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังนี้

 1. ประธาน กสทช. หรือกรรมการ กสทช. เป็นผู้ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 20(4)(5) ภายหลังโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแล้ว บุคคล ดังต่อไปนี้ ได้แก่ นายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา หรือสานักงาน กสทช. จะเป็นผู้ดำเนินการ กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติ หรือลักษณะ ต้องห้าม รวมไปถึงการวินิจฉัยกรณี ประธาน กสทช.หรือกรรมการ กสทช. เป็นผู้ขาดสมบัติหรือรักษาต้องห้ามได้ และแจ้งผลให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการนำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง

 2. ตามกรณี 1. หากวุฒิสภา เป็นผู้ดำเนินการ กระบวนการตรวจสอบคุณลักษณะ หรือเนื้อหาต้องห้าม รวมทั้งวินิจฉัยว่า ประธาน กสทช. หรือกรรมการ กสทช. เป็นบุคคลที่มี การขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม บุคคล ดังต่อไปนี้ ได้แก่ กรรมการ สรรหา หรือกรรมาธิการที่วุฒิสภา มอบหมาย ผู้ใดจะเป็นผู้ดาเนินการตรวจสอบและวินิจฉัย การขาดคุณสมบัติ หรือการมีลักษณะต้องห้าม หรือการดาเนินการฝ่าฝืนดังกล่าว

3. กรณี ตามมาตรา 20 วรรคท้าย มีหนังสือแจ้งให้สานักงานเลขาธิการวุฒิสภา และดำเนินการจัดให้มีการเลือกกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งนั้น เป็นกระบวนการภายหลังจากนายกรัฐมนตรีนาความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่งประธาน คสช หรือกรรมการ กสทช. หรือไม่ หรือเป็นขั้นตอนกระบวนการเริ่มต้นในการตรวจสอบคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม หรือกระทาการอันเป็นการฝ่าฝืนโดยไม่แจ้งให้สำนักงานเลขาวุฒิสภาทราบ เพื่อดาเนินการตามพระราช 20 วรรค 2 และวรรคท้ายควบคู่กันไปหรือไม่ประการใด

สื่อและสาธารณชนจึงต้องจับตาดูต่อไปว่าทางคณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีคำวินิจฉัยในกรณีดังกล่าวไปในทิศทางใด จะมีการอ้างข้อจำกัดจากความไม่ชัดเจนของกฎหมายเพื่อยื้อเวลาอีกหรือไม่ หรือ จะให้แนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาที่ค้างคามาเกือบ 2 ปีได้เพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีในองค์กรอิสระ และหน่วยงานภาครัฐต่อไป

“ภูมิธรรม” ยอมรับ “เลขาฯกฤษฎีกา” แจง ครม. อำนาจรักษาการนายกฯ ยุบสภาไม่ได้ รัฐบาลยังไม่ยึดแนวทางไหน เหตุยังไม่เกิด

 

เมื่อเวลา 08.35 น. วันที่ 7 ก.ค. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการประชุมครม.นัดพิเศษ เมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้มีการเสนอเรื่องอำนาจรักษาราชการแทนนายกฯให้ครม. รับทราบหรือไม่หลังเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่า อำนาจรักษาราชการแทนนายกฯไม่มีอำนาจยุบสภาฯ ว่า  ไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจกันนะ เพราะเรื่องที่ประชุมกันเป็นการมอบอำนาจหน้าที่ เลขากฤษฎีกาได้พูดข้อคิดเห็น และแนะนำ แต่ไม่ใช่ข้อที่บันทึกในที่ประชุม เป็นเพียงการยกตัวอย่างการปกครองในระบอบรัฐสภาแบบ Westminster ของประเทศอังกฤษ และได้มีการสอบถามว่าได้มีการพักราชการนายกฯแบบ Westminster ซึ่งไม่มี นั่นคือความเห็น วิชาการอีกแง่มุมหนึ่ง

เมื่อถามว่า แล้วรัฐบาลเชื่อความเห็นของเลขากฤษฎีกาหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็เป็นหนึ่งความเห็นที่ควรพิจารณา รับฟัง แต่ไม่มีอะไรเป็นที่ยืนยัน ซึ่งความเห็นดังกล่าวนี้ในส่วนของนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯฝ่ายกฎหมาย ก็เคยเสนอความเห็น และหลายท่านเสนอก็เป็นเรื่องที่ควรพิจารณา แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องพิจารณา

เมื่อถามว่า  นายภูมิธรรมจะยังไม่คิดใช้อำนาจยุบสภาใช่หรือไม่หากเกิดสถานการณ์การเมืองคับขัน นายภูมิธรรมกล่าวว่า จะใช้อำนาจอะไรก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองแต่ละช่วง ในเมื่อ ยังไม่ถึงสถานการณ์จะไปนั่งคิดทำไม วันนี้ไม่ใช่เวลานั่งคิดว่าเราจะอยู่หรือเราจะไป วันนี้ต้องมานั่งคิดว่าจะทำงานให้เต็มที่ได้อย่างไร เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในการทำงานทั้งหมด ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำให้เกิดความไม่แน่นอน ไปสร้างความไม่มั่นใจอะไรต่างๆ ปัญหาที่ยังไม่เกิดเรายังไม่ควรถาม ควรจะถามในปัญหาที่คิดว่าสำคัญว่าทำต่อไปอย่างไร และยังไม่รู้ว่าเรื่องจะออกบวกหรือลบอย่างไร ไม่ควรมาคิดเรื่องลบอย่างเดียว 

"เลขาฯกฤษฎีกา" ปัดให้ความเห็น ปม "พีระพันธุ์" ถูกร้องถือหุ้นบริษัท ชี้เรื่องอยู่ที่ปปช.แล้ว

 

วันที่ 6 พ.ค. 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ถูกร้องเรียนมีชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัท ว่า ต้องดูรัฐธรรมนูญและกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อยู่ในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดังนั้น ตนไม่ควรที่จะให้ความเห็นให้เกิดความวุ่นวาย เดี๋ยวสังคมจะเข้าใจอะไรไปไม่ตรงกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า เคยมีการทักท้วงจากกฤษฎีกาในเรื่องนี้หรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า เป็นไปตามกฏหมาย กฎหมายเขียนว่าอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น

เมื่อถามย้ำว่า รัฐมนตรีสามารถดำรงตำแหน่งได้หรือไม่ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา บอกว่า ตอบแทนไม่ได้ ตนไม่รู้ข้อเท็จจริง แต่ข้อกฎหมายเขียนไว้อย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

เมื่อถามว่า เรื่องนี้น่าเป็นห่วงหรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า ไม่ค่อยกังวล ขอให้เป็นหน้าที่ ป.ป.ช.ดีกว่า

"เลขาฯกฤษฎีกา" ปัดตอบ "กคพ." มีอำนาจรับ "คดีฮั้วเลือก สว." หรือไม่ ให้รอประชุม 6 มี.ค.นี้

 

วันที่ 3 มี.ค.68 เมื่อเวลา 08.33 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการอ้างว่า เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีการะบุในที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ว่ากคพ.ไม่มีอำนาจรับคดีฮั้ว สว. ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการลงมติรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ ขอให้รอการประชุม กคพ.ในวันที่ 6 มี.ค.นี้

"เลขาฯ ครม." เผย " กฤษฎีกา" ส่งร่าง พรบ.เอ็นเตอร์เทนเมนท์ฯให้รัฐบาลแล้ว รอ "มท.-คลัง" ทําหนังสือยืนยัน ก่อนชงครม.

 

วันที่ 28 ก.พ.2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล  นางณัฐจารีย์ อนันตศิลป์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร  หรือ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์   จากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว

เมื่อถามว่า จะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 11 มี.ค.นี้ หรือไม่    นางณัฐจารีย์ กล่าวว่า   ต้องดูกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทย ยืนยันเป็นหนังสือมาก่อน

"เลขาฯ กฤษฎีกา"​ แจงไม่ใช่หน้าที่​พิจารณา​คุณสมบัติว่าที่ รมต. โยน​ เป็นอำนาจ "เลขาฯ ครม."

 

วันที่ 11 ก.พ. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปกรณ์​ นิล​ประพันธ์​ เลขาธิการ​คณะกรรมการ​กฤษฎีกา​กล่าวถึงกรณีการตรวจคุณสมบัติผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี​ หากมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)ใหม่​ ว่า​ ไม่ใช่หน้าที่ของกฤษฎีกาในการตรวจสอบคุณสมบัติ เป็นเรื่องของทางเลขาธิการ ครม.

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอไปก็ต้องมีการตรวจสอบใช่หรือไม่ นายปกรณ์​ กล่าวว่า ไม่ตอบดีกว่า

"เลขาฯ กฤษฎีกา" ย้ำ คกก.คณะพิเศษ ปรับถ้อยคำ "ร่างกม.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" ทันตามกรอบ 50 วัน

 

เมื่อเวลา 08.45 น. วันที่ 4 ก.พ. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวถึงความคืบหน้าการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ. ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะพิเศษว่า การพิจารณาก็ดำเนินการต่อเนื่องไป คาดว่าเป็นไปตามกำหนดกรอบเวลาของรัฐบาล 50 วัน ขณะนี้ทำมาเกือบ 20 วันแล้ว ยืนยันว่าการปรับถ้อยคำร่างกฎหมายดังกล่าวทันตามกรอบเวลา ส่วนหน่วยงานที่มีการเข้ามาชี้แจงแล้วนั้น หลักๆ เหมือนเดิม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง ส่วนการปรับแก้ถ้อยคำ จะทำให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล

"เลขาฯกฤษฎีกา" เร่งทำกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ รับลูกนโยบายรัฐบาล ชี้เป็นแผนเร่งด่วนต้องทำภายใน 50 วัน 

วันที่ 29 ม.ค.68 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาให้สัมภาษณ์กรณีที่คณะกรรมการ กฤษฎีกาตั้งกฤษฎีกาคณะพิเศษ ปรับแก้ร่างพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …หรือ เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ที่มีนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมกฤษฎีกาคณะพิเศษชุดดังกล่าว  ส่วนคณะกรรมการประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิหลายคน อาทิ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ นายธงทอง จันทรางศุ นายไพโรจน์ วายุภาพ เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่มีนักกฎหมายชั้นนำ มาร่วมกันพิจารณาในเรื่องนี้จะทำให้ร่างดังกล่าวเป็นที่ยอมรับของสังคมหรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า การเป็นที่ยอมรับของสังคมหรือไม่เป็นคนละประเด็นแต่สิ่งที่เราทำคือดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เราเป็นเหมือนพ่อครัวที่คอยปรุงและใส่วัตถุดิบตามที่ลูกค้าต้องการ แต่ถ้ามีบางอย่างที่เขาไม่ต้องการและเราทักท้วงแต่เขายืนยันจะเป็นแบบนั้นก็ต้องตามใจลูกค้า และเรื่องนี้ต้องถามสังคมจะว่าอย่างไร ถึงจะมาทำให้สอดคล้องกับความต้องการ แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร เมื่อนโยบายมาแบบนี้ โดยแถลงต่อรัฐสภาไปแล้วสิ่งที่เราต้องทำให้สอดคล้องกับนโยบาย การทำความเข้าใจกับประชาชน เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องชี้แจงและดำเนินการอยู่ 

ส่วนเสียงเรียกร้องให้มีการทำประชามติ นายปกรณ์ กล่าวว่าเรื่องนี้เป็นนโยบาย กฤษฎีกาไม่เกี่ยวข้อง โดยเราพยายามทำให้กฎหมายครอบคลุมทุกมิติ ไม่ต่างกับการยกเรือสำราญที่มีทุกกิจกรรมมาไว้บนบก ซึ่งหลายหน่วยงานเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว โดยหลักคือ กระทรวงมหาดไทยและท้องถิ่น กระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้องเรื่องภาษีและคมนาคม ในเรื่องของเส้นทาง

เมื่อถามว่าใช้กรอบเวลาดำเนินการนานแค่ไหน เลขาฯกฤษฎีกา กล่าวว่า รัฐบาลบรรจุไว้ในแผนกฎหมายเร่งด่วน ที่ต้องดำเนินการภายใน 50 วัน และกฤษฎีกาพยายามทำให้ทัน ขณะนี้ประชุมสัปดาห์ละสองครั้ง คือวันอังคารและพฤหัส และพยายามหาวันว่างเพิ่มขึ้น เราต้องรีบทำ

 

“เลขาฯกฤษฎีกา” ยันยังไม่ได้ข้อยุติสัดส่วน “กาสิโน” ในร่างกม.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ 

 

วันที่ 28 ม.ค.2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวถึงความคืบหน้าการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือยกร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจ สถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ...หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ว่า ตอนนี้มีการหารือแล้ว 3-4 ครั้ง ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาหารือ

เมื่อถามว่ากระทรวงมหาดไทยมีข้อเสนอต่อการร่างกฎหมายอย่างไรบ้าง เลขาฯกฤษฎีกา กล่าวว่า ไม่ได้มีอะไร ส่วนใหญ่กระทรวงมหาดไทยได้ให้ข้อสังเกตไว้ อย่างเรื่องการรักษาการร่วมดำเนินการ และการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งไม่ได้มีประเด็นอะไร

เมื่อถามถึงกรณีที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ให้สัมภาษณ์วานนี้ (27มค.68) ว่ากฎหมายจะไม่มีการตราเรื่องสัดส่วนกาสิโน 10% ลงไปในนั้น เลขาฯกฤษฎีกา กล่าวว่า ยังไม่ถึงขนาดนั้น

เมื่อถามย้ำว่ากฤษฎีกามองว่าควรจะมีการบัญญัติ สัดส่วนของกาสิโนลงไปในกฎหมายเลยหรือไม่ เนื่องจากหากไม่มีการเขียนลงไปอย่างชัดเจนจะเป็นช่องว่างทางกฎหมาย เลขาฯกฤษฎีกา กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงแค่ นายจุลพันธ์ มาชี้แจงและเล่าให้ฟัง แต่ยังไม่ได้ข้อยุติขนาดนั้น
 

“เลขาฯกฤษฎีกา” เผย ถกนัดแรกแล้ว พิจารณา “ร่างพ.ร.บ.กาสิโน” รัฐบาลขีดเส้น 50 วัน โยน ฝ่ายบริหารตัดสินใจ

 

วันที่ 21 ม.ค. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปกรณ์ นิลประพันธ์  เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ภายหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับหลักการว่า ก็ได้ดำเนินการแล้ว ทำให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งมุ่งเป้าไปตามแนวทางรัฐบาล Man-made Destination เป็นหลักเท่านั้นเอง ถ้าไปอย่างอื่นลำบาก 

เมื่อถามว่า ต้องใช้ระยะเวลาในการรวบรวมความคิดเห็นนานหรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลแจ้งมาว่าใช้เวลาได้ไม่เกิน 50 วัน เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน ก็จะพยายามรีบดำเนินการให้แล้วเสร็จ ซึ่งมีการประชุมไปนัดหนึ่งแล้ว ก็ไปได้พอสมควรในเรื่องเค้าโครง เราไม่ได้เน้นในเรื่องของกาสิโน หรือเรื่องอะไรอย่างที่พูดกัน เน้น Man-made Destination เป็นหลัก ส่วนการจะมีกาสิโนด้วยก็เป็นไปตามกฏหมายที่มีอยู่แล้ว

เมื่อถามย้ำว่า จำเป็นจะต้องมีการประชามติฟังเสียงจากประชาชนหรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า ก็แล้วแต่ฝ่ายบริหาร ถ้าเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญหรือมีผลกระทบเยอะๆ รัฐบาลอาจจะทำได้ 

เมื่อถามย้ำว่า ทางกฤษฎีกาเห็นควรว่าจะต้องดำเนินการทำประชามติหรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า ก็แล้วแต่ ซึ่งทางกฤษฎีกาไม่ใช่ฝ่ายนโยบายจึงตัดสินใจไม่ได้