กูรูไพศาลเปิดโผ"ลุงป้อม"รองนายกฯมั่นคง ส่ง"บิ๊กณัฐ"นั่งรมช.กลาโหม

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎรกำลังพิจารณาแต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดการณ์กันว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยจะได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี และมีการคาดการณ์ถึงการจัดสรรคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะกระทรวงสำคัญคือ กระทรวงกลาโหม ที่มีการมองไปที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลคสช. 

ล่าสุด เพจ Paisal Puechmongkol ของนายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย อดีตที่ปรึกษาพล.อ.ประวิตร โพสต์ข้อความระบุว่า  "ลุงป้อมจัดทัพความมั่นคงพรึ่บ ดึงทีมเก่าพล.อ.ชวลิต เสริมทัพ เริ่มแก้ปัญหาสงครามไทย เขมร และชายแดนภาคใต้ กระทับความสัมพันธ์กับกลุ่ม brics นั่งแท่านรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงเอง ให้น้องเลิฟ พล.อ.ณัฐ เป็นรัฐมนตรีช่วย ปรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่เป็นศัตรูกับใคร เป็นมิตรกับทุกฝ่าย ตามพระบรมวิเทโศบายรัชกาลที่ 5" 

สำหรับพล.อ.ณัฐ  หมายถึง พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม และหนึ่งในทีมงานใกล้ชิด ของพล.อ.ประวิตร 

 

กระทรวงกลาโหม มอบ "เหรียญบางระจัน" เพื่อเชิดชูเกียรติและสดุดีวีรกรรมทหารกล้า

กระทรวงกลาโหมยกย่องวีรกรรมและความเสียสละของ "ทหารกล้า" ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยปลัดกระทรวงกลาโหมได้เป็นตัวแทนมอบขวัญ และกำลังใจให้กับกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บ และครอบครัวของกำลังพลผู้เสียชีวิต พร้อมมอบ "เหรียญบางระจัน" เพื่อเชิดชูเกียรติและสดุดีวีรกรรม

ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๘ เวลา ๑๕.๐๐ นาฬิกา พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พลเรือเอก สุพพัต  ยุทธวงศ์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่รักษาความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเข้าเยี่ยมทหารที่เข้ารับการรักษาตัว ณ ตึกสิริกิติ์และตึกเฉลิมพระเกียรติ พร้อมมอบ "เหรียญบางระจัน" และประกาศนียบัตร ให้กับกำลังพลผู้บาดเจ็บ จำนวน ๗ นาย และมอบให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและแสดงความขอบคุณในความเสียสละ ตามดำริของ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกาศเกียรติคุณและสร้างความภาคภูมิใจให้กับทหารผู้กล้าที่ยอมสละเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ ดังเช่นบรรพบุรุษไทยในอดีต ทั้งยังเป็นการสดุดีวีรบุรุษทหารกล้าเหล่านี้ 

สำหรับ "เหรียญบางระจัน" เป็นเหรียญที่จัดทำขึ้นเพื่อยกย่องผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติ โดยชื่อเหรียญมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับวีรชนแห่งบ้านบางระจันที่ พลีชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย ซึ่งสะท้อนถึงความกล้าหาญและความเสียสละที่ทหารหาญเหล่านี้ได้แสดงออกมา "วีรกรรมของท่านจะจารึกอยู่ในหัวใจคนไทยตราบนานเท่านาน" เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจให้คนไทยรุ่นหลังได้จดจำและซาบซึ้งในความเสียสละของพวกเขา

"โฆษกกลาโหม" แจงปมกองทัพภาค 2 ขอรับลวดหนามหีบเพลง ย้ำไม่ขาดงบ รัฐพร้อมสนับสนุน

วันที่ 14 ส.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.68) พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม ขอชี้แจงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง กรณีกองทัพภาคที่ 2 ได้โพสต์ในช่องทางสื่อสาร (Facebook) เพื่อขอรับการสนับสนุนลวดหนามหีบเพลง สำหรับใช้ประโยชน์ในการป้องกันอธิปไตยของไทย นั้น มีรายละเอียดโดยสรุป ดังนี้

1. การโพสต์ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 (เวลา 1700 น.) มีใจความสำคัญ ว่า กองทัพภาคที่ 2 ขอรับการสนับสนุนลวดหนามหีบเพลงจำนวนมาก เพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกันอธิปไตยของไทย จากผู้ที่มีความประสงค์-มีศักยภาพ โดยสามารถติดต่อโดยตรงกับฝ่ายกิจการพลเรือน กองกำลังสุรนารี

2. การโพสต์ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 (เวลา 1154 น.) กองทัพภาคที่ 2 ให้ข้อมูลเพิ่มเติม (1) ย้ำความสำคัญของลวดหนามหีบเพลง ในการลดความเสี่ยงต่อชีวิต-ความปลอดภัยของกำลังพลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดน และประชาชน รวมทั้งการป้องกันอธิปไตยของชาติ และ (2) ความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดหาในเวลาจำกัดและในจำนวนมาก ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันลวดหนามฯ ดังกล่าว ในท้องถิ่นเริ่มหายาก-ขาดแคลน

พลเรือตรี สุรสันต์ฯ อธิบายเพิ่มเติมว่า จากการได้พูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทราบว่าเป็นความพยายามเฉพาะหน้า ทั้งในเชิงปริมาณและเวลาดังกล่าว เพื่อให้ได้มาซึ่งลวดหนามฯ สร้างความพร้อมและสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ด้านความมั่นคงของประเทศได้ อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ กองทัพมีความรับผิดชอบในการปกป้องอธิปไตยและผืนแผ่นดินไทย ซึ่งการใช้รั้วลวดหนามชนิดต่างๆ เป็นกลไกหนึ่งที่มีความสำคัญต่อระบบการเฝ้าตรวจตามแนวชายแดนและการรักษาความปลอดภัยที่มั่นและกำลังพลทหารของเรา ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ เสริมการจัดยามรักษาการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง เช่น การติดตั้งระบบเรดาร์เฝ้าตรวจภาคพื้นดิน หรือการใช้กล้องวงจรปิด เป็นต้น ซึ่งจะต้องพิจารณาลงทุนเพิ่มเติมอย่างเหมาะสมต่อไปในอนาคต

พลเรือตรี สุรสันต์ฯ ย้ำว่า ไม่ได้มีประเด็นในเรื่องของการขาดแคลนงบประมาณแต่อย่างใด น่าจะเป็นเพียงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยรัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอ และเตรียมงบกลาง สำหรับแก้ปัญหาฉุกเฉิน-จำเป็นของชาติ พร้อมให้การสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ของกองทัพอย่างเต็มความสามารถ ซึ่งปัจจุบันกองทัพกำลังรวบรวมความต้องการจัดหายุทโธปกรณ์-สิ่งอุปกรณ์ต่างๆ จากทุกเหล่าทัพ เพื่อทดแทนและเสริมขีดความสามารถให้กองทัพของเรามีศักยภาพสูง และคงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ โดยกระทรวงกลาโหมจะเร่งรัดดำเนินการจัดหาและส่งให้ถึงหน่วยได้ใช้งานต่อไปโดยเร็ว

พลเรือตรี สุรสันต์ฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในนามของกระทรวงกลาโหม ขอขอบคุณและขอชื่นชมธารน้ำใจจาก พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ที่ได้แสดงออกถึงความรักชาติ และมีส่วนร่วมในการสนับสนุนกองทัพของเราตลอดมา โดยเฉพาะในยามที่มีสถานการณ์ไม่ปกติ ชาวไทยมักร่วมแรง ร่วมใจกัน และ #รวมใจไทยเป็นหนึ่งเดียว ทุกครั้ง

โฆษกกระทรวงกลาโหม ชี้แจงชัด! ปฏิบัติการชายแดนไทย-กัมพูชาไม่บิดเบือน "พล.อ.ณัฐพล" ย้ำยึดมั่นสันติวิธี

"พล.อ.ณัฐพล" ย้ำยึดมั่นในหลักการสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมยืนเคียงข้างพี่น้องในกองทัพและประชาชนทุกคน ปกป้องอธิปไตยไทย

วันที่ 12 สิงหาคม 2568 พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แจ้งว่า ตามที่มีการเสนอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนของพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ผอ.ศบ.ทก.) ภายหลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยพิเศษ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนบิดเบือน ไม่ครบถ้วน ไม่ตรงกับความเป็นจริง พร้อมการตีความโดยสอดแทรกความคิดเห็นส่วนบุคคล อันสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากเจตนารมณ์ของถ้อยแถลงต่อสาธารณชนในวงกว้าง โดยอาจนำไปสู่การสร้างความขัดแย้งกันเองของชนในชาติ และกระทบต่อเสถียรภาพในการบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในภาพรวมได้ นั้น จึงขอทำความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสังคม ดังนี้

1. พลเอก ณัฐพล ยึดมั่นในแนวทางการคลี่คลายปัญหาความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา โดยสันติวิธี ด้วยกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้วมาโดยตลอด พร้อมทั้งยึดมั่นในหลักการสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ

2. พลเอก ณัฐพล เน้นย้ำและเรียกร้องความจริงใจจากผู้นำระดับสูงของกัมพูชา ผ่านการแถลงข่าว ความว่า 
“...นับตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามสิ่งที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน เรื่องการหยุดยิงอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ดี พบว่าฝ่ายกัมพูชายังคงละเมิดการหยุดยิงหลังเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม ซึ่งฝ่ายไทยได้ใช้ความอดทนอดกลั้นที่สุด และตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น แม้ปัจจุบันสถานการณ์ชายแดนมีความสงบ แต่ฝ่ายกัมพูชายังคงเสริมกำลังทหารเข้าไปในพื้นที่ ยังมีการใช้อากาศยานไร้คนขับเข้ามาสอดแนมในพื้นที่ต่าง ๆ ของไทย ซึ่งเป็นการกระทำที่ยั่วยุ และอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน นอกจากนี้ ยังมีการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและข่าวเท็จต่าง ๆ ซึ่งไม่สร้างสรรค์ และไม่ช่วยทำให้เกิดบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเจรจาและการฟื้นฟูความไว้วางใจ...” 

อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกันในการประชุม GBC ครั้งนี้ ซึ่งเป็นการหารือในระดับกระทรวงกลาโหมไทย-กัมพูชา ทำให้ได้รับทราบข้อเท็จจริงจากกระทรวงกลาโหมกัมพูชาเพิ่มเติม ตามที่ปรากฏในคำแถลงข่าวต่อมาว่า 

“...จากการประชุมร่วมกันในครั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาระดับนโยบาย (กระทรวงกลาโหม) ได้แสดงให้เห็นความจริงใจต่อมาตรการหยุดยิงที่ได้ตกลงกันไว้ การกระทำที่ละเมิดการหยุดยิงที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงเป็นการดำเนินการโดยพลการของหน่วยงาน (ทหารกัมพูชา) ในพื้นที่...” 
ซึ่งไม่มีข้อความใด ที่เป็นการตำหนิการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องผืนแผ่นดินไทยของหน่วยทหารไทย ตามหลักการสากลในการป้องกันตนเองโดยชอบธรรม อย่างได้สัดส่วน ตามที่ถูกบิดเบือน แต่อย่างใด

พลเรือตรี สุรสันต์ ย้ำว่า ในการแถลงข่าวดังกล่าว เป็นการสื่อสารผ่านสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ ไปสู่ประชาคมโลก บนพื้นฐานของความเป็นจริง โดยพลเอก ณัฐพล ได้ปกป้องศักดิ์ศรีของคนไทยและสะท้อนความจริงใจต่อข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายไทย อย่างเต็มที่ โดยยืนยันว่าฝ่ายไทยจะยึดมั่นในการให้ความร่วมมือและการพูดคุยอย่างสุจริตใจ-จริงใจต่อไป บนพื้นฐานของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะปฏิบัติตามเช่นเดียวกัน 

พร้อมทั้งขอความร่วมมือไปยังฝ่ายกัมพูชาใน 2 ประเด็นสำคัญ ที่ยังไม่ได้ตอบรับ คือ (1) การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่มีการปะทะและพื้นที่อื่น ๆ ตลอดแนวชายแดน เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย และ (2) ความร่วมมือในการปราบปรามอาชญกรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์หรือออนไลน์สแกม ซึ่งส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอย่างกว้างขวาง อีกด้วย

พลเรือตรี สุรสันต์ กล่าวทิ้งท้ายว่า จากการเพิ่มเติมความเห็นส่วนตัว และการตีความที่เกินความเป็นจริงว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ จะเป็นการปกปิดข้อเท็จจริง หรือเป็นการปกป้องผู้นำระดับสูงของกัมพูชา จากการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา (เรื่องการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล) และอนุสัญญาเจนีวา (เรื่องการกระทำต่อเป้าหมายพลเรือนและละเมิดหลักมนุษยธรรม) นั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจากคำแถลงข่าวนั้น ไม่สามารถลบล้างข้อเท็จจริงที่ปรากฏได้ นอกจากนี้ ที่ผ่านมาฝ่ายไทยก็ได้มีการเก็บรวบรวมหลักฐานในทุกกิจกรรม ที่เป็นการละเมิดหลักการสากลอย่างต่อเนื่อง และได้ดำเนินการประท้วง-ส่งคำร้อง-ชี้แจงข้อเท็จจริง ไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว ได้แก่ 

1.คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC)      
2.ประธานอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Convention) รวมทั้งประเทศผู้บริจาค เพื่อสนับสนุนกัมพูชาในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และ 
3.องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization : UNESCO) 

ตลอดจนการบรรยายสรุปต่อเอกอัครราชทูต หรือผู้แทนจาก 75 ประเทศ 1 องค์กร (สหภาพยุโรป) และผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ จาก 16 องค์การ รวมจำนวน 122 คน (เมื่อ 4 สิงหาคม 2568) เป็นต้น

#ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าววันนี้ #กระทรวงกลาโหม #สันติวิธี #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

กห. ยืนยันจีน-สหรัฐฯ ร่วมสังเกตการณ์ประชุม GBC วันสุดท้าย ไม่กระทบหลักการหารือทวิภาคีไทย-กัมพูชา

วันที่ 2 สิงหาคม 2568 พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ตอบรับอย่างเป็นทางการให้ จีน สหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย เข้าร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ในการประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ซึ่งจะจัดขึ้นช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้ โดยระหว่างวันที่ 4–6 สิงหาคม จะเป็นการประชุมระดับเลขานุการของทั้งสองฝ่าย เพื่อเตรียมความพร้อมด้านข้อมูล ประเด็นสำคัญ และภารกิจด้านธุรการ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณ ชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งถือเป็นการต่อยอดจากการหารือระดับผู้บัญชาการหน่วยทหารพื้นที่แนวชายแดนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ฝ่ายไทยระบุว่า ได้ขอเวลาใช้ 3 วันในการเตรียมความพร้อม เนื่องจากมีเนื้อหาจำนวนมาก ก่อนเข้าสู่การประชุมระดับนโยบายหลักในวันที่ 7 สิงหาคม 2568

ย้ำ: ไม่กระทบหลักการทวิภาคี

พล.ร.ต.สุรสันต์ ยืนยันว่า การเปิดให้จีน สหรัฐฯ และมาเลเซียเข้าร่วมในฐานะ “ผู้สังเกตการณ์” เฉพาะในวันสุดท้าย ไม่กระทบต่อหลักการหารือแบบทวิภาคี ระหว่างไทย–กัมพูชาแต่อย่างใด แต่เป็นไปเพื่อความโปร่งใส สร้างความเข้าใจร่วมกันในเวทีความร่วมมือด้านความมั่นคง

กระทรวงกลาโหมแจงภาพ "นายทหารต้อนรับชาวต่างชาติ" เป็นการส่วนตัว–ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง

วันที่ 10 มิ.ย.68 สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ออกหนังสือชี้แจงกรณีภาพข่าวบนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งปรากฏภาพนายทหารรายหนึ่งให้การต้อนรับกลุ่มชาวต่างชาติ ณ ห้องรับรองของสำนักงานฯ โดยมีสารวัตรทหารอำนวยความสะดวกก่อนที่กลุ่มดังกล่าวจะเดินทางไปรับประทานอาหารนอกสถานที่

ภายหลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และได้รับคำชี้แจงจากนายทหารคนดังกล่าวว่า การนัดหมายดังกล่าวเป็นกิจกรรมส่วนตัวกับกลุ่มเพื่อนนักศึกษาระดับปริญญาโทจากสถาบันเดียวกัน โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับภารกิจของหน่วยงานราชการแต่อย่างใด ทั้งนี้ นายทหารรายดังกล่าวได้เกษียณอายุราชการแล้ว

แม้จะเป็นการกระทำในลักษณะส่วนตัว แต่เพื่อความโปร่งใสและยึดมั่นในระเบียบวินัยราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเป็นการเร่งด่วน พร้อมยืนยันว่าจะกำชับให้กำลังพลทุกระดับปฏิบัติตามกฎระเบียบการใช้สถานที่ราชการอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีกในอนาคต

สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมขอย้ำว่าให้ความสำคัญกับความมีระเบียบแบบแผน และความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกระดับ เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนและภาพลักษณ์ของหน่วยงานโดยรวม

เลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม – ผู้ให้ข่าว
 

" ภูมิธรรม" ยัน "เรือดำน้ำ" จบภายในต้นเดือนมิ.ย.

 

วันที่ 20 พ.ค.68 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม​  เวชยชัย​  รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดซื้อเรือดำน้ำ​ ว่า​หลังเดินทางเยอรมนี ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีกลาโหม ของเยอรมนี เอกอัครราชทูตจีน และตัวแทนประเทศปากีสถาน ทำให้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ โดยขณะนี้มี 2 แนวทาง คือ หากไม่ซื้อ ก็จะกระทบกับงบประมาณ 8,000 ล้านบาท ที่ได้เสียไปก่อนหน้านี้ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญให้คิดมาก หากเดินหน้าต่อก็ต้องทำความเข้าใจกับประชาชน ว่านี่คือทางเลือกที่ดีที่สุดหรือไม่ สิ่งไหนที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศมากที่สุด ตนจะใช้แนวทางดังกล่าวมาตัดสินใจ ยอมรับว่า ทางการจีนอยากได้คำตอบเรื่องนี้มานานแล้ว ภายในสิ้นเดือนนี้หรือต้นเดือนมิ.ย. ตนเองจะตัดสินใจได้ เพราะข้อกังวลต่าง ๆ ที่สงสัยก็ได้ทำทุกขั้นตอนแล้ว และมีคำตอบชัดเจนแล้ว

เมื่อถามว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางใด นายภูมิธรรม กล่าวว่าต้องหาทางที่มีเหตุผลให้กับประชาชนรับทราบได้ และเมื่อเป็นปัญหาที่คาราคาซังมานานก็กระทบกับการจัดงบประมาณของกองทัพ และเรื่องยังค้างคา ดังนั้น ถึงเวลาสมควรแล้วที่ต้องตัดสินใจ โดยกองทัพเรือก็ต้องรอการตัดสินใจจากตนเอง เรื่องเรือดำน้ำจะเดินหน้าไปในทิศทางใดจะเกิดขึ้นในยุคของตนเองอย่างแน่นอน เพราะต้องตัดสินใจ และเสนอนายกรัฐมนตรี และชี้แจงต่อสาธารณชนรับทราบตรวจสอบได้ 

“ช่วงนี้ดรามากระแสเยอะต้องระวัง ขนาดไม่มีอะไรเลย ได้ยินบอกว่า เสียเงินไปแล้วเอาไปส่งให้เขมร เรื่องนี้เลอะเทอะ ซึ่งไม่มีกระแสข่าว และไม่เป็นความจริง เพราะคนที่กำลังเจรจากัน ไม่มีทำอะไรให้รู้สึกว่า มันจะมีปัญหา ทุกฝ่ายเคารพกับเรา เราอยู่ที่การตัดสินใจของเรา เมื่อเราตัดสินใจอย่างไรเขาก็จะตัดสินใจตอบ อย่าไปดรามา เพราะดรามา จะส่งผลเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” นายภูมิธรรม กล่าว

"บิ๊กอ้วน" ไม่เคยได้ยินข่าวดีลแลกกระทรวง "มท.-กลาโหม" ย้ำอยู่ไหนทำงานเต็มที่ โอดอยู่ 6เดือนจะไล่แล้วหรือ ปัดตอบเขี่ยภท.พ้นครม.

 

วันที่ 21 เมษายน 2568 ที่ศาลหลักเมือง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีผลสำรวจความคิดเห็นจากนิด้าโพล อยากให้ปรับ รมว.พาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การปรับคณะรัฐมนตรี เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีได้ติดตามประเมินผลการทำงานของรัฐมนตรีทุกคน ถ้ายังไปกันได้ดีก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปรับครม. ทั้งนี้ต้องแล้วแต่นายกรัฐมนตรี เป็นคนประเมิน เพราะถือเป็นเจ้านายสูงสุดของ ครม.

ส่วนที่ผลโพลอยากให้ปรับรัฐมนตรีในส่วนของเศรษฐกิจยังทำงานไม่ตอบโจทย์นั้น ก็เป็นเรื่องของโพล เป็นความเห็นหนึ่งเท่านั้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีเองก็คงรับไปพิจารณา ทั้งนี้ ยังไม่เคยได้ยินนายกฯ เปรยเรื่องปรับ ครม. เพียงแต่ได้ยินท่านบอกว่าทำงานกันไปให้เต็มที่

ส่วนผลโพลที่ระบุว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น ก็ขอขอบคุณ เพราะตนเองทำงานเต็มที่ อยู่ที่ไหนก็รักที่นั่น และพยายามที่จะเข้าใจเรื่องราวต่างๆและพยายามปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขร่วมกันกับทุกๆส่วน

เมื่อถามกระแสข่าวแลกโควต้ากระทรวงมหาดไทย กับ กระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่เคยได้ยินตนเองได้ยินมาจากสื่อเท่านั้น

เมื่อถามย้ำว่ามีข่าวว่าจะไปนั่งเป็น รมว. มหาดไทย จะไม่อยู่ที่กระทรวงกลาโหมแล้ว นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ผมเพิ่งอยู่ 6 เดือนเอง จะไล่แล้วเหรอ”

ผู้สื่อข่าวถามว่าในฐานะที่นายภูมิธรรม คร่ำหวอดในวงการด้านการเมืองมาอย่างยาวนาน มีความคิดเห็นอย่างไรว่าจะเอาพรรคภูมิใจไทย ออกหรือคิดว่าจะอยู่ต่อไป กล่าวว่า ตนจะวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างไร อยู่ที่พี่น้องประชาชน เป็นคนประเมินเพราะพวกเรายังสามารถทำงานร่วมกันได้ดี ซึ่งนายอนุทิน กับตนก็ยังคุยกันได้ดี คุยกันรู้เรื่องหากมีงานอะไรที่เป็นเกี่ยวพันกันหรือสนับสนุนกันเราก็ทำเต็มที่

เมื่อถามว่าสถานการณ์ขณะนี้ไม่มีอะไรหนักหนาจนต้องเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรามาอยู่ในช่วงที่ประเทศเผชิญกับวิกฤตต่างๆ ในการที่จะเผชิญปัญหา และเผชิญกับวิกฤตการณ์ต่างๆก็เป็นเรื่องธรรมดา  งานวิกฤตก็คืองาน ซึ่งงานก็เป็นหน้าที่เราต้องทำ

ผู้ข่าวรายงานว่า ในวันนี้นายภูมิธรรม ยังได้เป็นประธานในพิธีวันสถาปนาองค์ศาลหลักเมือง 243 ปี  โดยเข้าสักการะศาลหลักเมือง ศาลเทพารักษ์และทำพิธี สะเดาะเคราะห์ เติมตะเกียงน้ำมัน พระประจำวันเกิด วันเสาร์ ปางนาคปรก    ก่อนนำทำพิธีบวงสรวงสักการะองค์พระหลักเมืองอย่างเป็นทางการ

ผู้สื่อข่าวแซวว่าวันนี้หน้าแดงมาก นายภูมิธรรม ตอบกลับว่า หน้าร้อน แต่ใจไม่ร้อนนะ

ผู้สื่อข่าวถามว่า คนเกิดวันเสาร์ดวงแข็ง และเก้าอี้แข็งด้วยหรือไม่ นายภูมิธรรม หัวเราะกล่าวพร้อมบอกว่า เรื่องเก้าอี้แข็งนี่บอกไม่ได้

รมช.กลาโหม เยี่ยมคัดเลือกทหารใหม่ พร้อมต้อนรับ "น้องคนสุดท้องของกองทัพ"  

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการตรวจเลือกทหารใหม่ ณ จังหวัดนครปฐม เพื่อให้กำลังใจเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการตรวจเลือก พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจแก่ผู้ปกครองและญาติพี่น้องถึงความพร้อมของกองทัพในการต้อนรับ “น้องคนสุดท้องของกองทัพ”

วันที่ 4 เมษายน 2568  พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ที่ซุ้มพุทธมามกะ องค์พระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เพื่อให้กำลังใจเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการตรวจเลือก พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจแก่ผู้ปกครองและญาติพี่น้องถึงความพร้อมของกองทัพในการต้อนรับ “น้องคนสุดท้องของกองทัพ” เพื่อพบปะให้กำลังใจเยาวชนและครอบครัวของพวกเขา พร้อมย้ำว่า “ทุกคนที่เข้ามาไม่ว่าจะสมัครใจหรือจับฉลาก ล้วนเป็นคนสำคัญของประเทศชาติ ที่กองทัพจะดูแลอย่างดีที่สุด เสมือนคนในครอบครัว” โดยมี นายรณภพ เวียงสิมมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม พร้อมด้วย รอง กอ.รมน.จังหวัดนครปฐม นายอำเภอเมืองนครปฐม ผู้นำท้องถิ่น และพ่อแม่ผู้ปกครอง ญาติพี่น้องมาร่วมให้กำลังในครั้งนี้ 


 สำหรับการตรวจเลือกทหารกองเกิน รับราชการทหารกองประจำการ อำเภอเมืองนครปฐม มีความต้องการจำนวน 55 นาย แบ่งเป็นทหารบก 25 นาย ทหารเรือ 22 นาย และทหารอากาศ 8 นาย ซึ่งมีผู้สมัครใจจำนวน 28 คน หลีกเลี่ยง 3 คน และลุ้นจับใบแดง 24 คน

พลเอก ณัฐพลฯ กล่าวถึงบทบาทของกองทัพไทยในยุคปัจจุบันว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลัก “หน่วยทหารปลอดภัย” ยกระดับการฝึกให้ทันสมัย สอดคล้องกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการเปลี่ยนผ่านจากระบบเกณฑ์ไปสู่ “ระบบสมัครใจ”


ทั้งนี้ กองทัพยังให้ความสำคัญกับการสร้าง “คนดีของชาติ” ผ่านการฝึกที่ปลอดภัย การคัดเลือกครูฝึกที่มีคุณภาพ และการเปิดโอกาสให้ทหารใหม่ได้รับการศึกษาต่อเนื่อง เสริมทักษะอาชีพ และเตรียมความพร้อมสู่ตลาดแรงงานภายหลังปลดประจำการ รวมถึงการเปิดช่องทางสู่การเป็นนักเรียนทหาร นายสิบตำรวจ หรือรับราชการต่อ

พลเอก ณัฐพลฯ กล่าวย้ำว่า การเป็นทหารไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป หากแต่เป็น “โอกาส” และ “จุดเริ่มต้นของเส้นทางแห่งเกียรติศักดิ์” โดยในวันนี้…ทุกคนที่เข้ามาจะได้เริ่มบทบาทหน้าที่อันทรงเกียรติ มีศักดิ์ศรี และเสียสละเพื่อส่วนรวม พร้อมฝากถึงครอบครัวว่า “อยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ไปเยี่ยมลูกหลานในหน่วยทหาร เพื่อเห็นด้วยตนเองว่า…กองทัพในวันนี้คือบ้านหลังที่สอง ที่ให้ทั้งความรู้ ความเป็นอยู่ที่ปลอดภัย และปลูกฝังอุดมการณ์ของทหารอาชีพ”


จากประสบการณ์ของอดีตทหารกองประจำการจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เช่น การเป็นเสาหลักของครอบครัว การห่างไกลยาเสพติด การเข้าสู่อาชีพที่มั่นคง หรือการช่วยเหลือประชาชนในภารกิจบรรเทาสาธารณภัย ล้วนเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า การรับราชการทหารคือเส้นทางของการสร้างคนดีและสร้างคุณค่าให้กับชีวิต
“ไม่ว่าใครจะสมัครใจ หรือจับฉลาก เราจะดูแลเขาอย่างดีที่สุด สร้างให้เขาเป็นคนดีของสังคม เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ และเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพของชาติ”  พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ กล่าว

โดยนายสรวิชญ์ จูอินทร์ ผู้เข้ารับการสมัครคัดเลือกเป็นทหารในปีนี้บอกว่าตนเองได้จบการศึกษาเกี่ยวกับทางด้านไฟฟ้าและคิดว่าอยากจะลองสมัครเข้าเป็นทหารโดยใช้เวลาหกเดือนเพื่อหาแนวทางในการประกอบอาชีพต่อเพราะมองว่า ทหารเป็นอาชีพที่มั่นคงและสามารถช่วยเหลือสังคมได้ ทั้งนี้ยังไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเข้ารับการเป็นทหารจะต้องเจออะไรบ้างเบื้องต้นก็รู้สึกกลัวแต่ก็คิดว่าไม่มีอะไรยากเพราะได้ มีการเตรียมการทางร่างกายมาแล้วหนึ่งปีเพื่อที่จะตั้งใจมาสมัครโดยตรงหากเรียนรู้แล้วก็อยากจะเป็นทหารอาชีพต่อไปซึ่งตอนนี้ได้เลือกเหล่าทหารบกเอาไว้เพราะอยากทดลองขับรถถังดูหากมีโอกาส

ส่วนนาง  มารดาบอกว่า ลูกชายได้มาปรึกษากับตนเองไว้ว่าจะขอสมัครเข้าเป็นอาหารในปีนี้เลยเพราะเขามองว่าเป็นอาชีพที่มั่นคงซึ่งทางแม่ก็ไม่ติดปัญหาอะไรโดยเห็นว่าเค้ามีการเตรียมร่างกายมาแล้วประมาณหนึ่งปีในการออกกำลังกายซึ่งจะเห็นว่าทั้งมีการวิ่งและการเวทเทรนนิ่งจนร่างกายมีความพร้อมซึ่งในทัศนคติของแม่ มองว่าการเป็นทหารก็ทำให้ลูกชายมีวินัยมากขึ้นและทหารเองก็ทำอะไรเพื่อประชาชนมาเยอะซึ่งเมื่อเขาชอบเราก็ไม่ติดขัดที่จะส่งเสริมให้เขาสมัครเข้ารับการเป็นทหารทันทีและเชื่อว่าอาชีพทหารหากเขาเดินทางสายนี้ต่อก็จะทำให้เกิดความมั่นคงในชีวิตได้แน่
 

รมว.กลาโหม ติดตามสถานการณ์และขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหา จังวัดชายแดนภาคใต้

รมว.กห. ติดตามสถานการณ์และขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหา จชต. 

วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 11.20 น. ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี นายภูมิธรรม  เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะฯ ลงพื้นที่รับทราบและติดตามการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล โดยมี พลตรี วรเดช  เดชรักษา รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า, ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการ, หัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ, หัวหน้าส่วนราชการ พร้อมผู้แทนหน่วยขึ้นตรงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ให้การต้อนรับและเข้าร่วมรายงานสถานการณ์

โดย นายภูมิธรรม  เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า กองการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เป็นหน่วยที่เผชิญปัญหาทางภาคใต้และรับบทบาทหลักในการดูแลแก้ไขปัญหาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  ชื่นชมและขอส่งกำลังใจไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าทุกท่าน ที่เสี่ยงชีวิต เสียสละประโยชน์ส่วนตนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยากลำบาก หลังจากนี้จะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ เพื่อกำหนดแผนยุทธศาสตร์ และกลับมาที่นี่อีกครั้ง ย้ำ “การนำพาสันติสุขต้องนำการสร้างโอกาส” กล่าวคือ ต้องมีการปรับเปลี่ยนด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่ประชาชนในทุกด้าน ทั้งการศึกษา การสร้างงานสร้างอาชีพ การรักษาสุขภาพ  ควบคู่กับการน้อมนำศาสตร์พระราชา หลักการทรงงานตามแนวพระราชดำริ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ชื่นชม กองทัพที่มีความพร้อมทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ในการเข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้อย่างดียิ่ง ในการช่วยเหลือภัยพิบัติ อุทกภัย ขอให้ทุกหน่วยมีความพร้อมอยู่เสมอ เน้นเป็นที่พึ่งแก่ประชาชนในทุกโอกาส

ด้าน  พลตรี วรเดช  เดชรักษา รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า  กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ห้วงที่ผ่านมากลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงยังคงมีความพยายามก่อเหตุในรูปแบบต่าง ๆ สนับสนุนงานทางการเมืองและภาคประชาสังคม มีการใช้โซเชียลมีเดียบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการขับเคลื่อนงานด้านความมั่นคงและด้านการพัฒนา ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้แผนเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี 2568 อย่างประสานสอดคล้อง และมีเอกภาพ โดยน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการพัฒนาตามภูมิสังคมเป็นยุทธศาสตร์หลักแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้นโยบายสำคัญ 5 ด้าน พร้อมย้ำว่าทุกภาคส่วนบูรณาการร่วมกันสร้างความเข้าใจในทุกมิติ นำหลักศาสนาที่ถูกต้องจากท่านจุฬาราชมนตรีและผู้นำศาสนาในพื้นที่มาขับเคลื่อนฮูกุมปากัต (ธรรมนูญหมู่บ้าน 9 ดี) ในทุกชุมชน ทุกหมู่บ้าน โดยใช้ยุทธศาสตร์ประชาชนมีส่วนร่วมตรงความต้องการของประชาชน ชุมชน รวมทั้งเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มผ่านการประชาคมหมู่บ้านและสภาสันติสุขตำบล เพื่อรับทราบปัญหาความต้องการที่แท้จริงให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ดำเนินการปรับลดการใช้กฎหมายพิเศษ ตามสถานการณ์ แต่คงไว้เฉพาะที่จำเป็น เพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและพี่น้องประชาชนในพื้นที่  

“และในห้วงที่ผ่านมามีการควบคุมพื้นที่ และการบังคับใช้กฎหมาย 34 ครั้ง ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 32 คน สำหรับงานด้านป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดได้บังคับใช้กฎหมายคดียาเสพติด 1,616 คดี จับกุมผู้กระทำความผิด 1,699 คน ตรวจยึดของกลางพร้อมนำตัวผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวเข้ารับการบำบัดรักษา ในระบบสาธารณสุข จำนวน 81 ราย ,งานการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ได้ส่งเสริมการฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามและขับเคลื่อนให้ชุมชน 2 วิถี เรียนรู้ ยอมรับการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ควบคู่การสร้างความเข้าใจแก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ให้มีส่วนร่วมดูแลประชาชนจากปัญหาความมั่นคง พร้อมลงนามรับรองแนวทางการปลูกฝัง “ยะกีน”ฉบับชาวบ้าน(กีตาบเล็ก) ถือเป็นแนวทางการปลูกฝังจิตสำนึกของคนในชุมชน และขับเคลื่อนธรรมนูญหมู่บ้าน 9 ดี (ฮูกุมปากัต) ในทุกชุมชนต่อเนื่อง รวมทั้งขับเคลื่อนโครงการสานใจสู่สันติ และพบปะพัฒนาสัมพันธ์ รับฟังข้อคิดเห็นและปัญหาในพื้นที่ สร้างความเข้าใจ รู้เท่าทันกลุ่มขบวนการ ตลอดจนผลักดันเศรษฐกิจให้สร้างงานสร้างอาชีพแก่ประชาชนอย่างยั่งยืน”    รอง ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กล่าว.