กนง.มีมติลดดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 1.50% ผลมาตรการภาษีของสหรัฐฯ สนับสนุนให้ SMEs ปรับตัวได้

กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ผ่อนคลายเพิ่มเติมจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ภาวะการเงินยังตึงตัว เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ

คณะกรรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 1.50% ต่อปี ในการประชุมครั้งที่ 4/2568 โดยเป็นการลดลงครั้งที่ 3 ของปี 2568 มีสาระสำคัญดังนี้

เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้จากการประชุมครั้งก่อน โดยครึ่งปีแรกยังคงได้รับแรงหนุนจากการส่งออกกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ  ส่งผลดีบางส่วนต่อภาคการผลิต อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มชะลอลงจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะแนวทางการจัดเก็บภาษี transshipment การลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ตามการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น และการบริโภคที่ขยายตัวต่ำจากความเชื่อมั่นที่ลดลง

กนง. กังวลมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซ้ำเติมปัญหาความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย โดยเฉพาะ SMEs

โดยเศรษฐกิจบางภาคส่วนมีความเปราะบางมากขึ้นโดยเฉพาะ SMEs ที่มีบทบาทต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลงหลัง COVID-19 ทั้งภาคบริการและภาคการผลิต SMEs ซึ่ง กนง. คาดว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติมจะช่วยให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบางให้สามารถรับมือกับระเบียบการค้าใหม่ของโลกและความท้าทายที่ซับซ้อนในระยะข้างหน้า

ภาวะการเงินของไทยยังคงมีความตึงตัว สะท้อนจากสินเชื่อที่ยังอยู่ในช่วง deleveraging โดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ จากความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูง ประกอบกับการชำระคืนหนี้ที่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับลดลงจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไป กนง. ประเมินว่ายังมีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย จากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก โดยราคาอาหารสดปรับลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และราคาหมวดพลังงานที่โน้มลงตามราคาน้ำมันดิบโลก โดยระยะข้างหน้าราคาอาหารสดและพลังงาน ซึ่งมีสัดส่วน 30% ของตะกร้าสินค้า มีแนวโน้มปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี กนง. มองว่าปัจจุบันยังไม่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากราคาสินค้าและบริการไม่ได้ลดลงเป็นวงกว้าง อีกทั้ง อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) มีแนวโน้มทรงตัว โดยเงินเฟ้อที่ต่ำบางส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนและต้นทุนของธุรกิจ

Krungthai COMPASS คาดว่า กนง. อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมสู่ระดับ 1.25% เพื่อบรรเทาผลกระทบจากข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลอย่างเต็มที่ในช่วงปี 2569 โดยเฉพาะภาษี transshipment ที่ปัจจุบันยังไม่มีแนวทางดำเนินการที่ชัดเจน โดย Krungthai COMPASS คาดว่า GDP ปี 2568 จะขยายตัวที่ 2% นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงหลังหลายประเทศยังต้องประเมินผลกระทบจากข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ อีกทั้ง ผลกระทบของการขึ้นภาษีต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่อาจกลับมาเร่งตัวขึ้น ซึ่งจะกระทบต่ออุปสงค์โลก ท่ามกลางความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risk ) ซึ่งคาดการณ์ได้ยาก จึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการประคับประคองเศรษฐกิจ เพื่อเร่งปรับตัวรับกับความท้าทายครั้งสำคัญจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและห่วงโซ่อุปทานโลก หลังกติกาการค้าโลกพลิกผันครั้งใหญ่ซึ่งจะนำไปสู่การแข่งขันรูปแบบใหม่

ในระยะข้างหน้าต้องติดตามความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน หลัง กนง. ลดดอกเบี้ย ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ประกอบการเพิ่มเติม หลังการประกาศอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่แม้จะลดความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าและหนุนให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่า แต่คาดว่าหลายประเทศจะเร่งออกมาตรการบรรเทาผลกระทบ และส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนจึงเป็น cushion สำคัญในการปกป้อง margin ของธุรกิจที่อยู่ในช่วงเปราะบาง

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามมาตรการกำกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินที่ออกจากปัจจัยพื้นฐาน อาทิ การส่งออกนำเข้าทองคำ ที่ในระยะหลังความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำและค่าเงินบาทปรับสูงขึ้น ประกอบกับไทยเกินดุลการชำระเงินจาก errors & omissions สูงขึ้นซึ่งอาจสะท้อน unknown activity ที่เกี่ยวกับทอง

 

กรุงศรี หั่นดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ลดต้นทุนการเงิน มีผล 18 ส.ค.68

กรุงศรี ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ลดต้นทุนการเงิน มีผล 18 ส.ค.68

วันที่ 14 สิงหาคม 2568 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568 สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และเพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ตลอดจนช่วยลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระของลูกค้าทั้งในภาคธุรกิจและรายย่อย

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “กรุงศรีปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ต่อปี สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ ลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ของลูกค้า อีกทั้งยังเป็นการช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีสหรัฐฯ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง”

กรุงศรีปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ดังนี้

-อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate หรือ MLR) ปรับลดลงจาก 7.000% เป็น 6.750%

-อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate หรือ MOR) ปรับลดลงจาก 6.975% เป็น 6.725%

-อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate หรือ MRR) ปรับลดลงจาก 7.120% เป็น 6.870%

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในแนวทางที่กรุงศรีได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ สะท้อนถึงความห่วงใยและความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม

อัตราดอกเบี้ยใหม่ดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

 

 

 

 


 

 

SCB FM มอง กนง.มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อได้ ขณะที่เงินบาทอาจแข็งค่า เหตุตลาดคาดการณ์ลดดอกเบี้ยไว้แล้ว

SCB FM มอง กนง.มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อได้ ขณะที่เงินบาทอาจแข็งค่า เหตุตลาดคาดการณ์ลดดอกเบี้ยไว้แล้ว และดัชนีดอลลาร์อ่อนค่า

วันที่ 13 ส.ค.68 นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส สายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps มาอยู่ที่ 1.50% ตามที่ตลาดคาด เพื่อให้ภาวะการเงินผ่อนคลายลงอีก เอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ และช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs และครัวเรือนรายได้น้อย

โดยในการประชุมรอบนี้ กรรมการให้น้ำหนักเรื่อง Financial stability และการเก็บ Policy space น้อยลง โดยลดความกังวลเรื่องการก่อหนี้ใหม่ และหันไปเน้นเรื่องการลดภาระหนี้ให้แก่ครัวเรือนและภาคธุรกิจ มากกว่า นอกจากนี้ กรรมการให้น้ำหนักเรื่องภาวะการเงินมากขึ้น โดยพบว่าสินเชื่อหดตัวต่อเนื่องตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น (โดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนรายได้ต่ำ) ขณะที่การชำระคืนหนี้ของธุรกิจขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ลดลงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ด้านคุณภาพสินเชื่อโดยรวมปรับด้อยลง ดังนั้น การลดดอกเบี้ยในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนการปรับตัวและลดภาระของภาคธุรกิจและครัวเรือนลงได้ หลังผลการประชุม เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับสูงขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 2 ปี ทรงตัว สะท้อนว่าผลการประชุมออกมาสอดคล้องกับที่ตลาดคาด

ทั้งนี้ กนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยต่ออีกอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ ซึ่งเป็นมุมมองที่สอดคล้องกับการ Price-in ในตลาด interest rate swap และมีโอกาสที่ terminal rate (จุดต่ำสุดของดอกเบี้ย) อาจอยู่ที่ 1% ได้ โดยในช่วงตอบคำถาม เลขาฯ กนง. กล่าวว่าคณะกรรมการไม่ปิดโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม แต่ประสิทธิผลของการลดดอกเบี้ยจะลดลงในเวลาที่อัตราดอกเบี้ยต่ำลง

สำหรับในระยะสั้น เงินบาทอาจจะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าในกรอบ 32.00-32.50 เนื่องจาก 1) ตลาดได้คาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ กนง. ไว้แล้ว ทำให้การลดดอกเบี้ยต่อจากนี้ จะไม่ช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าได้มากนัก สะท้อนจากในวันนี้ ที่พบว่าเงินบาทกลับแข็งค่าขึ้นหลังการลดดอกเบี้ย 2) Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้ต่อเนื่องและมากกว่าธนาคารกลางอื่น ๆ จึงทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ อาจแคบลง ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าเทียบสกุลเงินภูมิภาค รวมถึงเงินบาท 3) เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าเอเชียต่อได้ จากเลขเงินเฟ้อที่ยังต่ำและแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่อได้ (ทำให้มี capital gains จากการถือครองพันธบัตรรัฐบาล) นอกจากนี้ ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานโลกเริ่มลดลง ซึ่งส่งผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงของเอเชีย 4) สหรัฐฯ มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า (Tariffs) มากกว่าประเทศอื่น เพราะ Tariffs ถูกเรียกเก็บเป็นวงกว้าง จึงทำให้สหรัฐฯ ต้องจ่ายราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ Term of trade (ToT) ของสหรัฐฯ ปรับแย่ลง (ราคาสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น มากกว่าราคาสินค้าส่งออก) ทำให้เงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง เพราะ ToT ที่แย่ลงทำให้รายได้ของสหรัฐฯ น้อยลง กดดันดุลบัญชีเดินสะพัดในระยะสั้นของสหรัฐฯ ให้ปรับลดลง

#กนง #ดอกเบี้ยนโยบาย #เงินบาทแข็งค่า #SMEs #ครัวเรือนรายได้น้อย #ตลาดหุ้นไทย #เศรษฐกิจไทย #ไทยพาณิชย์ #ข่าวเศรษฐกิจ

กนง.มีมติเอกฉันท์ ลดดอกเบี้ย 0.25% แตะระดับ 1.50% จาก 1.75% มีผลทันที

กนง.มีมติเอกฉันท์ ลดดอกเบี้ย 0.25% แตะระดับ 1.50% จาก 1.75% มีผลทันที

วันที่ 13 ส.ค.68 นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี โดยให้มีผลทันที

เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 ขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ อย่างไรก็ดี มาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งเศรษฐกิจบางภาคส่วนมีความเปราะบางมากขึ้นโดยเฉพาะ SMEs ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้บ้าง เพื่อให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง จึงมีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมครั้งนี้

เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 ขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวดีจากการส่งออกกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ และภาคการผลิต มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มชะลอลงจากช่วงครึ่งแรกของปีจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ที่ลดลงตามการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ SMEs ลูกจ้าง และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวในระดับต่ำจากความเชื่อมั่นและแนวโน้มรายได้ที่ชะลอลง โดยต้องติดตามผลกระทบของการเก็บภาษี transshipment และการแข่งขันกับสินค้านำเข้า

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ โดยราคาอาหารสดปรับลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และราคาหมวดพลังงานที่โน้มลงตามราคาน้ำมันดิบโลก อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าและบริการอื่นไม่ได้ลดลงตามเป็นวงกว้าง สะท้อนในอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่มีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับต่ำมีส่วนช่วยบรรเทาไม่ให้ค่าครองชีพของประชาชนและต้นทุนของธุรกิจยิ่งสูงไปกว่านี้

สินเชื่อหดตัวต่อเนื่องตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะใน SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ ประกอบกับการชำระคืนหนี้ที่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับลดลงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ สำหรับคุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลงโดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าเทียบกับสกุลเงินภูมิภาค ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับลดลงตามคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อและการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทซึ่งอาจมีนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งสนับสนุนมาตรการทางการเงินเพื่อลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ของกลุ่มเปราะบาง

ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินในระยะข้างหน้าควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันควรคำนึงถึงการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะปานกลางและขีดความสามารถของนโยบายการเงินที่มีจำกัด

กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ 32.10–32.65 บาท/ดอลลาร์ จับตา กนง.ลดดอกเบี้ย–เฟดส่งสัญญาณผ่อนคลาย

กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ 32.10–32.65 บาท/ดอลลาร์ จับตา กนง.ลดดอกเบี้ย–เฟดส่งสัญญาณผ่อนคลาย

วันที่ 13 ส.ค.68 กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.10-32.65 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 32.36 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในกรอบ 32.25-32.54 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ ยกเว้นเงินเยนและฟรังก์สวิส โดยตลาดตอบรับสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัว และมีความหวังมากขึ้นเกี่ยวกับโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ใกล้จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่อัตราภาษีตอบโต้ของปธน.ทรัมป์ได้มีผลบังคับใช้แล้ว โดยผู้นำสหรัฐฯยังขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษี 100% จากการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ อย่างไรก็ตาม ภาษีสำหรับชิปเหล่านี้จะไม่ถูกเรียกเก็บจากบริษัทที่ลงนามในการผลิตชิปในสหรัฐฯ ทางด้านธนาคารกลางอังกฤษ(บีโออี)ลดดอกเบี้ยลง 25bp เป็น 4.00% ด้วยมติ 5 ต่อ 4 เสียง ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นและพันธบัตรไทยสุทธิ 6,454 ล้านบาท และ 2,884 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ ขณะที่สหรัฐฯกับจีนขยายเวลาหยุดเก็บภาษีระหว่างกันไปอีก 90 วัน ทางด้านปธน.ทรัมป์คัดเลือกบุคคลใกล้ชิดมาเป็นสมาชิกชั่วคราวของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน(FOMC) เป็นสัญญาณว่าผู้ที่ทรัมป์จะเลือกอย่างถาวรเพื่อมาดำรงตำแหน่งประธานเฟดซึ่งจะสิ้นสุดวาระช่วงกลางเดือนพ.ค. 69 จะมาจากสายพิราบและสนับสนุนการลดดอกเบี้ย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เรามองว่าจะถ่วงค่าเงินดอลลาร์ลง นอกจากนี้ เราเชื่อว่าในที่สุดแล้วการมองโลกในแง่ดีของตลาดสินทรัพย์เสี่ยงซึ่งกำลังมองข้ามผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าจะไม่ยั่งยืน ขณะที่ข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแออย่างมีนัยสำคัญเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยเดือนก.ย.และกดดันค่าเงินดอลลาร์แม้เงินเฟ้อพื้นฐานเดือนก.ค.ของสหรัฐฯจะออกมาสูงกว่าคาดก็ตาม

ขณะที่ปัจจัยในประเทศ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ย 25bp เป็น 1.50% ในการประชุมวันที่ 13 ส.ค. ด้วยมติไม่เป็นเอกฉันท์ ขณะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนมากขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นผลของภาคส่งออกซึ่งสะท้อนการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ อีกทั้งดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี หากกนง.เลือกที่จะคงดอกเบี้ยในรอบนี้โดยอ้างเหตุผลว่าอัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯเก็บกับไทยใกล้เคียงกับที่คาด และต้องการรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด เราคาดว่าในกรณีนี้กนง.จะลดดอกเบี้ยลงในเดือนต.ค.และธ.ค.

#ค่าเงินบาท #เงินบาทวันนี้ #กรุงศรี #กนง #เฟด #เศรษฐกิจไทย #ดอกเบี้ย #ตลาดเงิน #เศรษฐกิจโลก #ธนาคารกลาง

 

หุ้นไทยปิดลบ 6.08 จุด วอลุ่ม 5.1 หมื่นล้าน รับแรงขายทำกำไร-Fund Flow ชะลอ-รอลุ้นผล กนง.สัปดาห์หน้า

หุ้นไทยปิดลบ 6.08 จุด วอลุ่ม 5.1 หมื่นล้าน รับแรงขายทำกำไร-Fund Flow ชะลอ-รอลุ้นผล กนง.สัปดาห์หน้า

วันที่ 8 ส.ค.68 SET ปิดที่ 1,259.07 จุด ลดลง 6.08 จุด (-0.48%) มูลค่าซื้อขาย 51,232.32 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งในแดนลบทั้งวันเป็นส่วนใหญ่ โดยทำระดับสูงสุด 1,266.01 จุด และต่ำสุด 1,253.24 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 215 หลักทรัพย์ ลดลง 245 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 188 หลักทรัพย์

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงใกล้เคียงกับภูมิภาค โดยกระแสเงินทุนต่างชาติที่เป็นแรงหนุนสำคัญนั้นก็เริ่มชะลอตัว หลัง valuation หุ้นไทยแพงขึ้น ทำให้มีการขายทำกำไรออกมาบ้าง โดยตลาดได้รับรู้ข่าวดีไปหมดแล้ว เช่น เรื่องการเจรจาการค้าสหรัฐฯ ที่ภาพรวมน่าจะชัดเจนพอสมควร จึงขาดแรงขับเคลื่อนใหม่ ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานในบ้านยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งเศรษฐกิจที่คาดว่าจะชะลอตัว ทั้งในปีนี้และปีหน้า และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2/68 ที่ออกมาไม่ค่อยดี โดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยว และบริโภคภายใน สะท้อนถึงกำลังซื้อที่ลดลงชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์หน้าอาจจะยังพอมีลุ้นว่ากระแสเงินต่างชาติจะไหลกลับมาในระยะสั้น จากการเก็งผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 13 ส.ค. นี้ ซึ่งเราคาดว่าจะมีมติปรับลดดอกเบี้ย เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อไทยที่ดีกว่าคาด และสภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี

แนวโน้มสัปดาห์หน้า หลังวันหยุดยาว จึงแนะนำให้ติดตามผลประชุมกนง. รวมถึงการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ และบริษัทจดทะเบียนที่เหลือประกาศงบการเงินไตรมาส 2/68 ซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันที่ 16 ส.ค. โดยให้แนวต้าน 1,280 จุด และแนวรับ 1,200 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

THAI มูลค่าการซื้อขาย 5,521.75 ล้านบาท ปิดที่ 14.70 บาท เพิ่มขึ้น 1.30 บาท

KTB มูลค่าการซื้อขาย 2,569.83 ล้านบาท ปิดที่ 24.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,235.69 ล้านบาท ปิดที่ 168.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท

ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,169.04 ล้านบาท ปิดที่ 297.00 บาท ลดลง 1.00 บาท

CPALL มูลค่าการซื้อขาย 2,067.53 ล้านบาท ปิดที่ 46.25 บาท ลดลง 1.25 บาท

#หุ้นไทย #FundFlow #กนง #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

 

หุ้นไทยปิดเช้าลบ 5.75 จุด วอลุ่ม 3 หมื่นล้าน รับแรงขายทำกำไรก่อนเข้าวันหยุดยาว-รอลุ้น กนง.สัปดาห์หน้า

หุ้นไทยปิดเช้าลบ 5.75 จุด วอลุ่ม 3 หมื่นล้าน รับแรงขายทำกำไรก่อนเข้าวันหยุดยาว-รอลุ้น กนง.สัปดาห์หน้า

วันที่ 8 ส.ค.68 SET ปิดเช้าที่ 1,259.40 จุด ลดลง 5.75 จุด (-0.45%) มูลค่าซื้อขาย 30,218.30 ล้านบาท การซื้อขายช่วงเช้า ดัชนีปรับตัวลง โดยทำระดับสูงสุด 1,266.01 จุด และต่ำสุด 1,255.35 จุด

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงสอดคล้องกับภูมิภาคเอเชีย แต่ลงน้อยกว่า โดยบ้านเรามีแรงขายทำกำไรหลังขึ้นมามากถึง 1,275 จุด วันนี้การซื้อขายหุ้นกระจายกลุ่ม แต่ดัชนีลงไปไม่มาก เนื่องจากมีแรงเก็งกำไรหุ้นใหญ่ อาทิ กลุ่มธนาคาร และ THAI ที่งบออกมาดีกว่าคาด รวมทั้ง KTB ซึ่งช่วยประคองไว้

แนวโน้มช่วงบ่ายคาดดัชนีชะลอตัวช่วงเข้าวันหยุดยาว ขณะที่นักลงทุนรอติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 13 ส.ค.ตลาดคาดคงอัตราดอกเบี้ยเห็นได้จากหุ้นแบงก์ปรับขึ้น-กลุ่มไฟแนนซ์ปรับลง แม้โมเมนตัมทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงแต่ก่อนหน้านี้ กนง.ระบุว่าการปรับลดดอกเบี้ยครั้งก่อนจะเห็นผลในไตรมาส 3-4/68 สะท้อนว่าอาจยังไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ย ซึ่งหากมีมติคงอัตราดอกเบี้ยจะเป็นแรงส่งให้หุ้นกลุ่มแบงก์ไปต่อ ทำให้วันนี้นักลงทุนหลายคนชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจน โดยให้กรอบแนวรับ 1,250 จุด ถัดไป 1,230 จุด และแนวต้าน 1,264 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

THAI มูลค่าการซื้อขาย 4,181.90 ล้านบาท ปิดที่ 14.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.90 บาท

KTB มูลค่าการซื้อขาย 1,690.65 ล้านบาท ปิดที่ 24.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,330.21 ล้านบาท ปิดที่ 167.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,296.25 ล้านบาท ปิดที่ 154.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท

CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,280.33 ล้านบาท ปิดที่ 46.25 บาท ลดลง 1.25 บาท

#หุ้นไทย #วันหยุดยาว #กนง #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

 

บอร์ดแบงก์ชาติแต่งตั้ง “เชาว์ เก่งชน” นั่งกรรมการ กนง. แทน “รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส” มีผล 2 ก.ย.68

บอร์ดแบงก์ชาติแต่งตั้ง “เชาว์ เก่งชน” นั่งกรรมการ กนง.แทน “รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส” มีผล 2 ก.ย.68

วันที่ 5 ส.ค.68 นายจิรานุวัฒน์ ธัญญะเจริญ เลขานุการคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ที่ประชุมได้คัดเลือกและมีมติแต่งตั้งนายเชาว์ เก่งชน เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แทนนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ที่ลาออกก่อนครบวาระ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2568 และมีวาระการดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของนายรุ่งโรจน์ คือจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2569  

#ธนาคารแห่งประเทศไทย #กนง #เชาว์เก่งชน #แต่งตั้งกรรมการกนง #ข่าวเศรษฐกิจ #นโยบายการเงิน #ธปท #BOT #แบงก์ชาติ

 

 

 

 

กนง.คงดอกเบี้ย 1.75% คาดลดดอกเบี้ยในปี 68 ท่ามกลางเศรษฐกิจไม่แน่นอน-ความเสี่ยงทั้งภายในและต่างประเทศ

กนง.คงดอกเบี้ย 1.75% คาดลดดอกเบี้ยในปี 68 ท่ามกลางเศรษฐกิจไม่แน่นอน-ความเสี่ยงทั้งภายในและต่างประเทศ

วันที่ 27 มิถุนายน 2568 Krungthai Compass เผยว่า กนง. มีมติ 6 ต่อ 1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75% ต่อปี จากเศรษฐกิจไทยครึ่งแรกของปี 2568 ที่ขยายตัวสูงกว่าที่คาดจากการส่งออกที่ขยายตัวสูงต่อเนื่องเริ่มส่งผลดีต่อภาคการผลิตบางส่วน ท่ามกลางความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งชายแดน และความไม่แน่นอนทางการเมือง โดย กนง. ได้ปรับการคาดการณ์ GDP ปี 2568 สูงขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2.0% มาเป็น 2.3% ทั้งนี้ กนง. เห็นว่าเศรษฐกิจในปี 2568 ไม่น่าจะขยายตัวต่ำกว่า 2% หากไม่มี Shock จากเศรษฐกิจโลกที่รุนแรง  ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังมีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย จากปัจจัยด้านอุปทาน ขณะที่ยังคงต้องติดตามภาวะการเงินที่ตึงตัวและความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น ประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมสู่ระดับ 1.50% ภายในปี 2568 จากเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยขึ้นกับผลของการเจรจากับสหรัฐฯ หลังความคืบหน้าของไทยยังไม่ชัดเจน และผลกระทบต่อราคาพลังงานหลังความขัดแย้งในตะวันออกกลางร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง

กนง. คงอัตราดอกเบี้ย จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีกว่าที่ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อนท่ามกลางความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศที่สูงขึ้น ขณะที่ภาวะการเงินยังตึงตัว เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75% ต่อปี ในการประชุมครั้งที่ 3/2568 โดยมีสาระสำคัญดังนี้

เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้จากการประชุมครั้งก่อน จากการเร่งส่งออกสินค้าในช่วงครึ่งปีแรกที่ส่งผลดีบางส่วนต่อภาคการผลิต โดยคาดว่าการขยายตัวในช่วงครึ่งแรกของปีอยู่ที่ร้อยละ 2.9 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะการส่งออกในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วง     ครึ่งปีหลังของ 2568 มีทิศทางชะลอตัว จากการส่งออกหลังปัจจัยชั่วคราวหมดลง พร้อมกับผลการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ที่จะชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกัน การใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศมีสัญญาณอ่อนแรงลงตามกำลังซื้อและความเชื่อมั่นที่ถดถอย ภาคท่องเที่ยว แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลง แต่รายได้จากการท่องเที่ยวยังคงเพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวระยะไกล ทั้งนี้ ภาคธุรกิจบางส่วนยังคงเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ

ทั้งนี้กนง. ปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) สำหรับปี 2568 ขึ้นเป็น 2.3% จากประมาณการเดิม 2.0% และในปี 2569 ปรับลดลงจาก 1.8% เป็น 1.7% โดยหลักจากการส่งออกที่ไม่รวมทองคำ ที่ใน H1/68 จะขยายตัวได้ที่ 10.9% แต่จะกลับมาหดตัวในช่วง H2/68 ที่ -2.9% จากผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดย กนง. ย้ำว่าเศรษฐกิจในปี 2568 ไม่น่าจะขยายตัวต่ำกว่า 2% หากไม่มี Shock จากเศรษฐกิจโลกที่รุนแรง

ภาวะการเงินของไทยยังคงมีความตึงตัว สะท้อนจากสินเชื่อที่ยังหดตัวโดยเฉพาะสินเชื่อโดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ แม้สินเชื่อขนาดใหญ่จะยังขยายตัวได้ แต่เห็นแนวโน้มการชำระคืนหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น สะท้อนความต้องการของภาคธุรกิจที่ลดลงในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง ขณะที่ด้านคุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลงโดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นประเด็นที่ กนง. ติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด

ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไป กนง. ประเมินว่ามีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 0.5% ในปี 2568 และ 0.8% ในปี 2569 ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ โดยเฉพาะราคาพลังงานที่ปรับลดลงตามราคาน้ำมันโลกและราคาอาหารสดที่ผันผวน ซึ่งทั้งสองหมวดนี้คิดเป็นสัดส่วน 30% ของตะกร้าเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม กนง. ประเมินว่าภาวะดังกล่าวยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากไม่มีการปรับลดของราคาสินค้าและบริการเป็นวงกว้าง ด้านเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะอยู่ที่ 1.0% ในปี 2568 และ 0.9% ในปี 2569 และเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังคงยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย ไม่มีสัญญาณของการหลุดออกจากจุดยึดเหนี่ยว (de-anchoring) โดยระยะข้างหน้า กนง. กังวลต่อความเสี่ยงจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลให้ราคาพลังงานปรับสูงขึ้น

Krungthai COMPASS ยังคงคาดว่า กนง. อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมสู่ระดับ 1.50% จากเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง แม้ กนง. จะปรับประมาณการณ์ GDP ปี 68 ให้สูงขึ้นอยู่ที่ 2.3% จากตัวเลขจริงที่สูงกว่าคาด แต่ส่วนใหญ่เป็นผลจากปัจจัยชั่วคราว ทั้งการเร่งส่งออกและการใช้จ่ายภาครัฐ โดยในช่วงครึ่งปีหลังที่ปัจจัยเสี่ยงเริ่มส่งผลชัดเจนมากขึ้นอาจทำให้เศรษฐกิจ H2/68 ขยายตัวต่ำกว่า 1% ประกอบกับ เศรษฐกิจในประเทศที่มีสัญญาณอ่อนแรง โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน อีกทั้งการลงทุนภาคเอกชนที่อาจหดตัวได้ หากผลการเจรจากับสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าประเทศคู่แข่ง ซึ่งปัจจุบันความคืบหน้าของการเจรจายังค่อนข้างจำกัด ท่ามกลางความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risk ) ซึ่งคาดการณ์ได้ยาก

ในระยะข้างหน้าต้องติดตามความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน หลัง กนง. คงดอกเบี้ย ท่ามกลางปัจจัยภายนอกที่มีความผันผวนสูง ทั้ง 1) ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะผลต่อราคาน้ำมัน และ 2) แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ (Fed) ที่ยังไม่แน่นอนจากผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าและราคาน้ำมันที่อาจส่งผลให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นอีกครั้ง โดยเงินบาทและค่าเงินในภูมิภาคนับตั้งแต่การประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ (Liberation Day) มีความผันผวนต่อเนื่อง และปัจจุบันอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา (มากกว่า percentile ที่ 75) ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินเคลื่อนไหวรุนแรงหากความเสี่ยงเร่งตัวขึ้น

เงินบาทปิด 32.65/66 อ่อนค่าจากช่วงเช้า หลัง กนง.คงดอกเบี้ยตามตลาดคาด

เงินบาทปิด 32.65/66 อ่อนค่าจากช่วงเช้า หลัง กนง.คงดอกเบี้ยตามตลาดคาด

วันที่ 25 มิถุนายน 2568 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดที่ระดับ 32.65/66 บาท/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าเปิดตลาดที่ระดับ 32.63 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทและสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาคปรับตัวแข็งค่าตามดอลลาร์ที่อ่อนค่า จากปัจจัยสงครามการค้า ประกอบกับปัจจัยเรื่องราคาทองคำที่ผันผวน โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 32.54 - 32.66 บาท/ดอลลาร์ สำหรับปัจจัยเรื่องผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย มติ กนง.ออกมาว่ายังคงอัตราดอกเบี้ย นโยบายไว้ที่ 1.75% ซึ่งเป็นไปตามที่นักลงทุนคาดไว้ จึงไม่ได้ส่งผลต่อตลาดมากนัก คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.50 - 32.80 บาท/ดอลลาร์