กกพ.ชู 34 ผลงานเด่น ขับเคลื่อนชุมชนรอบโรงไฟฟ้าเข้มแข็งยั่งยืน ผ่านเวทีประกวดกองทุนพัฒนาไฟฟ้า 2567

สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) จัดพิธีมอบรางวัล “การประกวดกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ประจำปี 2567” อย่างยิ่งใหญ่ ณ ห้องพญาไท แกรนด์บอลรูม โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท โดยมี นายพิทักษ์ จรรยพงษ์ กรรมการกำกับกิจการพลังงาน เป็นประธานในพิธี และ ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เป็นผู้กล่าวรายงาน 

เวทีประกวดในปีนี้จัดขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติกองทุนพัฒนาไฟฟ้าและโครงการชุมชนที่มีผลงานโดดเด่น พร้อมมอบถ้วยรางวัลพระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ถือเป็นเกียรติสูงสุดแก่ผู้ได้รับรางวัล และเป็นการตอกย้ำบทบาทของกองทุนพัฒนาไฟฟ้าในการสร้างการมีส่วนร่วม โปร่งใส และตรวจสอบได้ในการพัฒนาท้องถิ่น

ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. เปิดเผยว่า “การประกวดในปีนี้ได้รับความสนใจจากหน่วยงานและชุมชนทั่วประเทศ รวมผลงานที่ส่งเข้าประกวดทั้งสิ้น 269 ผลงาน แบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่
1.ระดับกองทุนพัฒนาไฟฟ้า: 53 กองทุน
2.ระดับโครงการชุมชน: 130 โครงการ
3.ระดับหมู่บ้านต้นแบบ: 50 หมู่บ้าน
4.ระดับ ERC New Gen New Move: 36 ทีม
โดยผ่านกระบวนการคัดเลือกอย่างเข้มข้น จนได้ 34 ผลงานโดดเด่น ที่สมควรได้รับรางวัลในแต่ละประเภท”

นายพิทักษ์ จรรยพงษ์ กรรมการกำกับกิจการพลังงาน ประธานในพิธี กล่าวเปิดงานและแสดงความชื่นชมต่อทุกผลงานว่า “เวทีนี้แสดงให้เห็นถึงพลังของชุมชนที่ใช้กองทุนพัฒนาไฟฟ้าเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทุกผลงานสะท้อนถึงความมุ่งมั่น บริหารจัดการอย่างโปร่งใส และเป็นต้นแบบของความสำเร็จในการมีส่วนร่วมของประชาชน ผมขอแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลทุกท่าน ท่านคือแรงบันดาลใจของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับท้องถิ่น”

กองทุนพัฒนาไฟฟ้า จัดตั้งขึ้นภายในสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) โดยมีภารกิจหลักในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านการดำเนินโครงการต่างๆ ที่โปร่งใสและมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน  ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและภาพบรรยากาศงานได้ที่ เว็บไซต์: www.pdf.erc.or.th  Facebook: กองุทนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงาน กกพ. ( https://www.facebook.com/powerfundpage )

กกพ.ยืนยันความขัดแย้งตะวันออกกลางยังไม่กระทบจัดหา LNG ไทย เตรียมแผนสำรองรับมือฉุกเฉิน

กกพ. ยืนยันความขัดแย้งตะวันออกกลางยังไม่กระทบจัดหา LNG ไทย เตรียมแผนสำรองรับมือฉุกเฉิน

วันที่ 26 มิถุนายน 2568 ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 22/2568 (ครั้งที่ 964) วันที่ 25 มิถุนายน 2568 ได้พิจารณาสถานการณ์การจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง ในช่วงระหว่างวันที่ 13 – 24 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากได้ส่งผลกระทบทำให้ราคาน้ำมันและ LNG ในตลาดโลกเกิดความผันผวนเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงแนวทางการบริหารความเสี่ยงในการจัดหาก๊าซ และ LNG เพื่อให้สามารถจัดหาเชื้อเพลิงให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ก๊าซในภาคไฟฟ้าและอุตสาหกรรมของประเทศ

โดยปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดหา LNG ทั้งในรูปแบบสัญญาแบบระยะยาว (Term) และ สัญญาแบบรายเที่ยวเรือ (Spot) รวมประมาณ 12 ล้านตันต่อปี โดยในส่วนของสัญญา Term นั้น มีการจัดหาสัญญาระยะยาวจากประเทศกาตาร์ ปริมาณ 2 ล้านตันต่อปี ซึ่งเมื่อพิจารณาในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะต้องมีการส่งมอบ LNG จากประเทศกาตาร์ รวมทั้งสิ้น 11 ลำเรือ ซึ่งต้องแล่นผ่านช่องแคบฮอร์มุซ โดยช่องแคบฮอร์มุซเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญต่อการจัดส่งพลังงานของโลก เนื่องจากมีปริมาณ LNG ที่ต้องผ่านพื้นที่ดังกล่าวจากประเทศกาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวม 83 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็น 20% ของอุปทานก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG supply) ของโลก รวมถึงเป็นช่องทางการค้าน้ำมันมากถึง 30% ของปริมาณการค้าน้ำมันทั่วโลก ในด้านราคา Spot LNG มีความผันผวนสูง โดยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจาก 13.444 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ($/MMBTU) ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2568 เป็น 14.815 $/MMBTU ในวันที่ 23 มิถุนายน 2568 หรือเพิ่มขึ้นราว 10% ในช่วงที่มีการตอบโต้ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน อย่างไรก็ตามราคาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวแบบรายเที่ยวเรือ (Spot LNG) มีการปรับลดลงในวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ลงมาอยู่ที่ 13.211 $/MMBTU หรือลดลงราว 10.8% ภายในหนึ่งวันหลังจากที่มีรายงานเกี่ยวกับการยุติความขัดแย้งชั่วคราวในภูมิภาคตะวันออกกลาง

“ขณะนี้ สำนักงาน กกพ. ได้มีการติดตามสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางและการส่งมอบ LNG ของ Shipper ทุกรายอย่างใกล้ชิด โดย กกพ. ได้ให้ Shipper ทุกรายในกลุ่ม Regulated Market รายงานข้อมูลสถานการณ์ส่งมอบ LNG รวมถึงแผนการส่งมอบ LNG โดยเฉพาะ LNG Supply ที่มาจากประเทศกาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สรุปได้ว่า Shipper ทุกรายมีการติดตามสถานการณ์ร่วมกับผู้ขาย อย่างใกล้ชิด และในปัจจุบันยังไม่มีผลกระทบต่อการส่งมอบ LNG แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม กกพ. ได้มีการหารือแนวทางรองรับกรณีที่มีการปิดช่องแคบฮอร์มุซและไม่สามารถรับ LNG จากประเทศกาตาร์ไว้ดังนี้ (1) เพิ่มการจัดหาก๊าซธรรมขาติทางท่อจากอ่าวไทย รวมถึงแหล่ง JDA และเมียนมา โดยเพิ่มการเรียกรับก๊าซ การบริหาร จัดการปริมาณก๊าซส่วนเพิ่มตามความยืดหยุ่นของสัญญา (Swing Gas) ให้เต็มศักยภาพ (2) จัดหา Spot LNG ส่วนเพิ่มจาก Supplier โดยขอให้ Shipper ทุกรายไปหารือคู่ค้า LNG ของตนเพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับเหตุฉุกเฉิน และ (3) ในกรณีที่ไม่สามารถจัดหา Spot LNG เพิ่มเติมได้เพียงพอ หรือ กรณีที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าด้วย Spot LNG สูงกว่าการผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมัน ศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า อาจมีการพิจารณาสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมัน จึงขอให้ ปตท. ตรวจสอบศักยภาพในการจัดส่งน้ำมันและปริมาณความต้องการน้ำมันของโรงไฟฟ้าที่เป็นคู่สัญญาควบคู่ไปด้วย” ดร.พูลพัฒน์ กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ปริมาณก๊าซธรรมชาติเหลวคงคลัง (LNG Inventory) ของประเทศอยู่ในระดับสูง และแผนการส่งมอบ LNG จาก Shipper ทุกรายพบว่ายังไม่มีผลกระทบ แต่อย่างไรก็ตาม กกพ. ก็จะเฝ้าติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการรองรับความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพพลังงานของประเทศ

#ERC #OERC #กกพ #สำนักงานกกพ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

ㅤㅤㅤㅤㅤㅤㅤㅤㅤㅤㅤㅤㅤㅤㅤㅤㅤㅤㅤ

 

กกพ.ประกาศลดค่าไฟ งวดเดือน พ.ค.-ส.ค.68 เหลือหน่วยละ 3.98 บาท

กกพ.ประกาศลดค่าไฟ งวดเดือน พ.ค. - ส.ค. 68 เหลือหน่วยละ 3.98 บาท

วันที่ 30 เมษายน 2568  นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. กล่าวว่า ที่ประชุม กกพ. มีมติปรับลดค่าไฟงวด พ.ค.-ส.ค.68 ลงเหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย เทียบกับงวดปัจจุบันอยู่ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย โดยจะใช้เงินเรียกคืนผลประโยชน์ส่วนเกิน (claw back) จาก 3 การไฟฟ้า มาใช้ในงวดนี้ประมาณ 12,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 17 สตางค์ของหน่วย

ก่อนหน้านี้ กระทรวงพลังงาน ได้เสนอเป้าหมายในการปรับลดอัตราค่าไฟที่จะประกาศเรียกเก็บกับผู้ใช้ไฟฟ้าสำหรับรอบเดือน พ.ค.-ส.ค.68 ลงเหลือไม่เกินอัตรา 3.99 บาท/หน่วย โดยไม่ได้ใช้งบอุดหนุนจากภาครัฐ

สำหรับเงิน claw back จาก 3 การไฟฟ้า รวมทั้งสิ้น 20,000 ล้านบาท เมื่อหักจากงวดนี้ยังเหลืออยู่อีก 8,000 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับดูแลค่าไฟในยามวิกฤตต่อไป อย่างไรก็ตามเงิน claw back ก้อนนี้ เพิ่งจะมีความชัดเจนหลังจากที่ กกพ.ประกาศค่าไฟ 4.15 บาทต่อหน่วยไปแล้วก่อนหน้านี้ จากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการลดค่าครองชีพของประชาชน กกพ.จึงตัดสินใจนำเงินก้อนนี้มาใช้ลดค่าไฟ

ทั้งนี้ การลดค่าไฟฟ้างวดดังกล่าว ไม่กระทบกับการชำระหนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยยังสามารถชำระอัตราเดิมที่ 20.33 สตางค์ต่อหน่วย หรือคิดเป็นประมาณ 14,000-15,000 ล้านบาท จากปัจจุบันหนี้ กฟผ.อยู่ที่ 71,000 ล้านบาท

#ค่าไฟ #กกพ #พลังงาน #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ เมษายน 

"กกพ." เปิดระบบออนไลน์ให้ติดตามสถานะคำขออนุญาตติดตั้งโซลาร์เซลล์-โซลาร์ รูฟท็อป

"กกพ." เปิดระบบออนไลน์ให้ติดตามสถานะคำขออนุญาตติดตั้งโซลาร์เซลล์-โซลาร์ รูฟท็อป

เมื่อวันที่ 20 มี.ค.68 นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.)ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน กกพ. ยกระดับการให้บริการโปร่งใสตามขั้นตอน ขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่ยื่นคำขอรับใบอนุญาตให้ผลิตพลังงานควบคุม (ใบอนุญาต พค.2) สำหรับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ (Solar Cells) และ โซลาร์ รูฟท็อป (Solar Rooftops) เพื่อใช้สำหรับการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ 200-1,000 กิโลโวลต์แอมแปร์ (kVA) สามารถใช้บริการติดตามสถานะและความคืบหน้าในการพิจารณาคำขออนุญาตผ่านช่องทางออนไลน์แบบเรียลไทม์

โดยตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2568 สำนักงาน กกพ. ได้เปิดช่องออนไลน์เพื่อให้บริการติดตามสถานะคำขออนุญาต พค. 2 ให้แก่ ผู้ประกอบการที่ได้ยื่นคำขอรับใบอนุญาต พค.2 ต่อสำนักงาน กกพ. ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ทั้งกระบวนการขออนุญาตในความรับผิดชอบสำนักงาน กกพ. และในส่วนความรับผิดชอบของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ ณ จุดๆเดียว

สำหรับช่องทางและขั้นตอนการตรวจสอบสถานะ สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงาน กกพ. ที่ www.erc.or.th และเข้าไปตรวจสอบได้ที่เมนู “ติดตามสถานะ พค.2” และคลิกไปที่ “ติดตามสถานะรายโครงการ” เพื่อค้นหาสถานะโครงการ โดยจะมีข้อมูลประกอบด้วย ชื่อผู้ขอรับใบอนุญาต (ชื่อโครงการ), ที่ตั้งสถานประกอบกิจการ, ประเภทเชื้อเพลิงหรือเทคโนโลยี, ประเภทการติดตั้ง, ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง และสถานะการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนนับตั้งแต่ยื่นคำขอ

ทั้งนี้ ล่าสุด ณ วันที่ 19 มีนาคม 2568 สำนักงาน กกพ. ได้รับคำขอที่มีเอกสารครบถ้วนแล้ว รวมจำนวน 1,085 โครงการ โดย พพ. อยู่ระหว่างพิจารณาให้ความเห็น จำนวน 958 โครงการ และสำนักงาน กกพ.ได้รับความเห็นจาก พพ.แล้ว อยู่ระหว่างเสนอ กกพ.พิจารณาจำนวน 127 โครงการ

#สำนักงานกกพ #กกพ #ERC #OERC #โซลาร์เซลล์ #โซลาร์รูฟท็อป

 

 

GPSC คว้า 4 โครงการ รวม 193 MW โดย กกพ.เพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียนตามแผนรองรับอุตฯแห่งอนาคต หนุนเป้าหมายลดคาร์บอนของประเทศ

GPSC ผ่านการคัดเลือกโดย กกพ.เป็นผู้พัฒนาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT ของผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน 4 โครงการโดยเป็นกำลังการผลิตกว่า 193 เมกะวัตต์จากโครงการร่วมทุน เฮลิออส 1 เฮลิออส 2 เฮลิออส 4 และไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ หนุนเพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเข้าระบบ รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เดินหน้าสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศ

เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.67 นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท.เปิดเผยว่า GPSC ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการประกาศผลการคัดเลือกการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed -in Tariff (FiT) ปี 2565 -2573 จำนวน 4 โครงการ โดยมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 193 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของผู้ผลิตพลังงานพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน โดยมีผู้ที่ได้รับการคัดเลือกทั้งสิ้น จำนวน 64 ราย รวม 1,580 เมกะวัตต์ ที่กำหนดให้มีการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) ตั้งแต่ปี 2569-2573

สำหรับโครงการที่ได้รับการคัดเลือก จาก กกพ. ประกอบด้วย บริษัท เฮลิออส 1 จำกัด (Helios 1) กำลังการผลิต 48.6 เมกะวัตต์,บริษัท เฮลิออส 2 จำกัด (Helios 2) กำลังการผลิต 61.4 เมกะวัตต์ บริษัท เฮลิออส 4 จำกัด (Helios 4) กำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ ซึ่ง GPSC ถือหุ้นร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในสัดส่วน 50% และบริษัทร่วมทุนระหว่าง GPSC และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ภายใต้บริษัท ไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ จำกัด (IRPC-CP) โดย GPSC ถือหุ้นสัดส่วน 51% กำลังการผลิต 74.88 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ Helios 1 และ Helios 2 มีกำหนด SCOD ในปี 2569 และ Helios 4 และ IRPC-CP มีกำหนด SCOD ในปี 2571

ทั้งนี้นับเป็นความสำเร็จของการเพิ่มโอกาสในการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ที่ GPSC ได้เข้าไปมีส่วนเสริมสร้างเสถียรภาพการจัดหาและพัฒนาพลังงานของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล ที่มีแนวทางการขับเคลื่อนในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) สำหรับโครงการที่ GPSC ได้รับการคัดเลือก เป็นผู้พัฒนาโครงการในครั้งนี้ จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 โดยแต่ละโครงการจะต้องยอมรับเงื่อนไขการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน 14 วัน นับถัดจากวันที่ประกาศผลการคัดเลือก

อย่างไรก็ดีจากการได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของธุรกิจ GPSC ที่มีเป้าหมาย ในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเกินกว่า 50% ของกำลังการผลิตในปี 2573 ซึ่ง GPSC เป็นบริษัทด้านนวัตกรรมพลังงานที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาพลังงานสะอาดที่หลากหลาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้บริษัทฯ มีความพร้อมในการจัดหาพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  และมีส่วนในการสนับสนุนให้ประเทศไทยมีพลังงานสะอาด เพื่อรองรับการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ เพื่อให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)

“รัฐบาล” เผยค่าไฟ 4.15 บาท ต่ำกว่าข้อเสนอของ กกพ.ถึง 1.34 บาท ย้ำ “พีระพันธุ์” ต่อรองเต็มที่

“ศศิกานต์” รองโฆษกรัฐบาล เผยค่าไฟ 4.15 บาท ต่ำกว่าข้อเสนอของ กกพ. ถึง 1.34 บาท ย้ำ “พีระพันธุ์” ต่อรองเต็มที่ เพื่อเป็นของขวัญจากรัฐบาลและ ก.พลังงาน

วันนี้ (28 พฤศจิกายน 2567) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ออกมาเปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานประกาศลดค่าไฟฟ้างวด ม.ค. - เม.ย. 2568 จากค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน (ก.ย. - ธ.ค. 2567) ซึ่งอยู่ที่ 4.18 บาท/หน่วย ลงอีก 3 สตางค์/หน่วย หรือค่าไฟฟ้าจะลดลงเหลือ 4.15 บาท/หน่วย มีผลตั้งแต่เดือน ม.ค - เม.ย. 2568 เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและเป็นของขวัญปีใหม่ 2568 ให้กับพี่น้องชาวไทยทุกคน จากกรณีดังกล่าว เกิดข้อถกเถียงว่ากระทรวงพลังงาน “ลดค่าไฟเพียงแค่ 3 สตางค์” นั้น

 

นางสาวศศิกานต์ ชี้แจงว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้เสนอ 3 ทางเลือกให้กระทรวงพลังงานพิจารณา ดังนี้

1.ค่าไฟ 5.49 บาท/หน่วย

2.ค่าไฟ 5.26 บาท/หน่วย

3.ค่าไฟ 4.18 บาท/หน่วย

โดยแต่ละกรณีจะมีเงินไปให้ กฟผ. ชำระหนี้ได้ในระดับที่แตกต่างกันไป  ซึ่งกระทรวงพลังงานโดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เสนอขอให้ กกพ. พิจารณาทบทวนค่าไฟให้เหลือ 4.15 บาท/หน่วย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และทาง กกพ. ก็มีมติเห็นชอบตามที่นายพีระพันธุ์ เสนอ

 

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ กกพ. กฟผ. ปตท. และกระทรวงพลังงาน เห็นพ้องต้องกันในการช่วยลดภาระและบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการลดค่าไฟฟ้าลงให้ต่ำที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่า ค่าไฟฟ้าที่ตามมติเห็นชอบล่าสุด ของ กกพ. เป็นมติค่าไฟฟ้าที่ต่ำที่สุดจากข้อเสนอ 3 ทางเลือกของ กกพ. ซึ่งหากบ้านไหนใช้ไฟเดือนละ 1,000 หน่วย ถ้ายึดตามข้อเสนอข้อที่ 1 ของ กกพ. (ค่าไฟ 5.49 บาท/หน่วย) ต้องจ่ายค่าไฟฟ้า 5,490 บาท แต่ตามข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน (ค่าไฟ 4.15 บาท/หน่วย) จะจ่ายค่าไฟฟ้าเพียง 4,150 บาท เท่านั้น ซึ่งมีส่วนต่างถึง 1,340 บาทเลยทีเดียว” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

 

“ขอประชาชนอย่าสับสนข้อมูลที่มีการถกเถียง รัฐบาลคำนึงถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก  เราพยายามอย่างเต็มที่ที่จะช่วยแก้ไขปัญหา อะไรที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน  รัฐบาลพร้อมดำเนินการอย่างเต็มที่” นางสาวศศิกานต์ ย้ำ

ลดต้นทุน "กกพ." เคาะลดเงินประกันสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ประวัติดี 

ลดต้นทุน "กกพ." เคาะลดเงินประกันสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ประวัติดี 

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ในการประชุม กกพ. ครั้งที่ 40/2567 (ครั้งที่ 925) เมื่อวันที่ 23 ก.ย.67 มีมติเห็นชอบข้อเสนอแนวทางการปรับปรุงเงื่อนไขการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ ได้แก่ ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท 3 กิจการขนาดกลาง ประเภท 4 กิจการขนาดใหญ่ และประเภท 5 กิจการเฉพาะอย่าง ที่มีประวัติการชำระค่าไฟฟ้าดี โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ) ปรับปรุงเงื่อนไขการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่มีประวัติการชำระค่าไฟฟ้าดีตามแนวทางที่ กกพ. ได้วางไว้

โดย กกพ. เข้าใจดีถึงภาระต้นทุนในการทำธุรกิจจากการวางหลักทรัพย์เพื่อเป็นการประกันการใช้ไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้าบางประเภทและในบางอุตสาหกรรมต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูง เป็นต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ ในขณะเดียวกันคำนึงถึงคู่สัญญาคือการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายด้วย เพราะหากเกิดกรณีไม่ชำระค่าไฟฟ้า หรือค้างชำระค่าไฟฟ้าเกินกำหนด หรือละเมิดการใช้ไฟฟ้า ก็จะเป็นความเสี่ยงและเกิดภาระต้นทุนของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายเองก็ต้องจ่ายกระแสไฟฟ้าไปให้ผู้ใช้ก่อนแล้วค่อยเรียกเก็บเงินค่าไฟในภายหลัง ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย กกพ. จึงมีมติโดยวางกรอบให้สิทธิได้รับการลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าตามประวัติการชำระค่าไฟและสถานะหนี้คงค้างค่าไฟเป็นหลัก ซึ่งขอย้ำว่าการวางเงินประกันการชำระค่าไฟฟ้ายังคงมีความจำเป็น เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องร่วมรับผิดชอบการไม่ชำระค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าบางราย ดังนั้นจึงไม่สามารถยกเลิกการวางเงินประกันทั้งหมดได้

ทั้งนี้ กกพ. ได้กำหนดแนวทางการปรับปรุงเงื่อนไขการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่มีประวัติการชำระค่าไฟฟ้าดี โดยกำหนดวงเงินประกันตามลักษณะการชำระค่าไฟฟ้า ดังนี้

-ประเภทผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ ประเภท 3 กิจการขนาดกลาง ประเภท 4 กิจการขนาดใหญ่ และประเภท 5 กิจการเฉพาะอย่าง เงื่อนไขการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้า (เดิม) คือ (1) ไม่เกิน 1 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ชำระตามกำหนด ในรอบ 1 ปี ส่วนเงื่อนไขการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้า (ปรับปรุง) คือ (1) ไม่เกิน 1 เท่า ของค่าไฟฟ้าเฉลี่ยย้อนหลังในรอบปีที่ผ่านมา สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ชำระตามกำหนด ในรอบ 1 ปี

(2) ไม่เกิน 0.8 เท่า ของค่าไฟฟ้าเฉลี่ยย้อนหลังในรอบปีที่ผ่านมา สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ชำระตามกำหนด ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป

ทั้งนี้ กรณีผู้ใช้ไฟฟ้าที่ผิดนัดชำระถูกงดจ่ายไฟฟ้าไม่ว่ากรณีใดๆหรือละเมิดการใช้ไฟฟ้าให้ใช้อัตราการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้าตามเงื่อนไขเดิม

- ประเภทผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ ประเภท 3 กิจการขนาดกลาง ประเภท 4 กิจการขนาดใหญ่ และประเภท 5 กิจการเฉพาะอย่าง เงื่อนไขการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้า (2) ไม่เกิน 1.25 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ผิดนัดชำระ ไม่เกิน 4 งวดในรอบปี

(3) ไม่เกิน 1.50 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ผิดนัดชำระเกิน 4 งวดในรอบปี

(4) ไม่เกิน 2 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ถูกงดจ่ายไฟฟ้า ไม่ว่ากรณีใดๆ หรือละเมิดการใช้ไฟฟ้า

ส่วนเงื่อนไขการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้า (ปรับปรุง) ยังคงเดิม

สำหรับมติดังกล่าว กำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่รอบบิลต้นปี 2568 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. ได้มีหนังสือถึง การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย เพื่อแจ้งแนวทางการปรับปรุงเงื่อนไขการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ตามมติ กกพ. ดังกล่าว โดย กกพ. ขอให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม รายละเอียดจำนวนผู้ที่ได้รับประโยชน์และจำนวนเงินที่จะได้รับเงื่อนไขการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่มีประวัติการชำระค่าไฟฟ้าดี โดยประมาณการจากข้อมูลของการใช้ไฟฟ้า และควรมีการศึกษาข้อมูลว่าในกรณีเกิดหนี้สูญจากการไม่ชำระค่าไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้ดำเนินการอย่างไรกับหนี้สูญดังกล่าว และรายงานเสนอ กกพ. ต่อไป

#กกพ #สำนักงานกกพ #เงินประกันค่าไฟ #หลักประกันค่าไฟฟ้า #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

กองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงาน กกพ.เดินหน้า “เด็กตื่นไฟ ปี 3” ปลุกพลังคนรุ่นใหม่สู่การใช้พลังงานสะอาด

“กองทุนพัฒนาไฟฟ้า” สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) มุ่งส่งเสริมการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานสะอาด สู่สังคมคาร์บอนต่ำ เดินหน้าโครงการเด็กตื่นไฟ เปลี่ยนพลังงานผ่านตัวเรา (เด็กตื่นไฟปี 3) ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงาน กกพ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 เพื่อผลักดันเยาวชน สร้างสรรค์สื่อภาพยนตร์สั้น แคมเปญการสื่อสารภายใต้หัวข้อ “THE CHANGER เปลี่ยนพลังงานผ่านตัวเรา” ให้ความรู้ สร้างแรงบันดาลใจ รณรงค์คนรุ่นใหม่ใช้พลังงานสะอาด เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน สำนักงาน กกพ. ให้ความสำคัญต่อการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของทุกคน

นายคชภพ สงวนวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวิร์คลิงค์ ดา เอเจนซี่ จำกัด ในฐานะผู้จัดการโครงการเด็กตื่นไฟ ปี 3 “THE CHANGER เปลี่ยนพลังงานผ่านตัวเรา” กล่าวว่า โครงการดังกล่าว เป็นความสำเร็จอีกขั้นของการสื่อสารเรื่องพลังงานสะอาด ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเยาวชนและคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

โดยผลงานภาพยนตร์โฆษณาและแคมเปญการสื่อสารที่ได้รับรางวัลจากโครงการเด็กตื่นไฟ ปี 3 ได้แก่ รางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 ทีม Hello Kitty มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ทีม Lemonspace  มหาวิทยาลัยกรุงเทพ รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ทีม SHINESIGHT  มหาวิทยาลัยรังสิต รางวัลชมเชย ทีมบะหมี่เฮียกง  มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ รางวัลชมเชย ทีม 19TH FLOOR มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ

ทั้งนี้ ผลงานภาพยนตร์โฆษณาและแคมเปญที่ได้รับรางวัลจะถูกนำไปเผยแพร่ และสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในหลากหลายช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ อาทิ Facebook  YouTube แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ และช่องทางออฟไลน์ เช่น แหล่งชุมชน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ย่านอาคารสำนักงาน แหล่งช้อปปิ้ง สถานีขนส่ง เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ตระหนักถึง ปัญหาการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศและ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่การหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น

โดยกองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงาน กกพ. ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่สดใสให้กับโลก โดยการติดตามและสนับสนุนโครงการ “เด็กตื่นไฟ ปี 3” เพื่อร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างโลกที่น่าอยู่เพื่อคนรุ่นหลัง สามารถติดตามและร่วมแชร์ผลงานของน้องๆในโครงการเด็กตื่นไฟ ปี 3 ได้ที่ Facebook Fanpage : เด็กตื่นไฟ  https://web.facebook.com/DEKWAKEUP/?locale=th_TH&_rdc=1&_rdr

ไม่ขึ้น! "กกพ." ตรึงค่าไฟงวดเดือนก.ย.-ธ.ค.67 ที่ 4.18 บาท

"กกพ."ตรึงค่าไฟงวดเดือนก.ย.-ธ.ค.67 ที่ 4.18 บาท

นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า บอร์ด กกพ.เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา มีมติตรึงค่าไฟงวดใหม่ เดือน ก.ย.-ธ.ค.67 ไว้ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย ซึ่งจากการเปิดรับฟังความคิดเห็น 3 แนวทางผ่านมาทางเว็บไซด์ กกพ. เมื่อวันที่ 12-26 ก.ค.67 พบว่าส่วนใหญ่เห็นว่าควรตรึงค่าไฟไว้ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย แต่มีบางส่วนก็แสดงความคิดเห็นในการปรับขึ้นค่าไฟเพื่อทยอยใช้หนี้ กฟผ.

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ บมจ.ปตท. (PTT) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แบกรับภาระหนึ้ทั้งสองก้อนไว้ก่อนคือ หนี้ กฟผ. จำนวน 9.8 หมื่นล้านบาท และหนี้ค่าก๊าซ (AFGAS) ของทั้ง ปตท.และ กฟผ. รวม 1.5 หมื่นล้านบาท โดยค่าไฟงวดต่างๆยังมีเงินใช้หนี้ กฟผ. 5 สตางค์ต่อหน่วย หรือคิดเป็นประมาณ 3,200 ล้านบาท ส่งผลให้ภายในสิ้นปีนี้หนี้ของ กฟผ.จะลดลงเหลือ 95,228 ล้านบาท และหนี้ค่าก๊าซจะอยู่ที่ 15,084 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มค่าไฟปี 2568 คาดว่าทิศทางราคาก๊าซจะลดลง ซึ่งในงวดปลายปี 2567 คาดการณ์ราคา LNG ไว้ที่ระดับ 13 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู คาดเฉลี่ยทั้งปีหน้าจะต่ำกว่า 13 เหรียญต่อล้านบีทียู ส่งผลให้สามารถดรึงค่าไฟไว้ที่ระดับ 4.18 บาทต่อหน่วยได้ อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับราคาก๊าซและค่าเงินบาทด้วย ส่วนการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 2 จำนวน 3,668.5 เมกะวัตต์นั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกิจการพลังงาน (กบง.) มอบหมายให้ กกพ.ปรับหลักเกณฑ์ คาดว่าจะมีความชัดเจนและสามารถออกประกาศเชิญชวนได้ภายในไตรมาส 4/67 ซึ่งการปรับหลักเกณฑ์นั้น อาทิ เดิมกำหนดให้ผู้ที่ฟ้องร้องในรอบแรกไม่สามารถเข้าร่วมยื่นขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 2 ได้ แต่ตามมติ กบง.จะให้ปรับแก้ในส่วนนี้ ดังนั้นผู้ที่ยื่นฟ้องร้องจะมีสิทธิยื่นขายไฟรอบ 2 ได้

#กกพ #ค่าไฟ #ข่าววันนี้ #กบง #การไฟฟ้า

 

 

อ่วมอีก! ค่าไฟงวดเดือนก.ย.-ธ.ค.67 กกพ.เคาะ 3 ราคา 4.65-6.01 บาท/หน่วย จากปัจจุบัน 4.18 บาท/หน่วย

อ่วมอีก! ค่าไฟงวดเดือนก.ย.-ธ.ค.67 กกพ.เคาะ 3 ราคา 4.65-6.01 บาท/หน่วย จากปัจจุบัน 4.18 บาท/หน่วย พร้อมเปิดรับฟังความเห็น 3 ทางเลือก ตั้งแต่วันที่ 12-26 ก.ค.67 

ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. เปิดเผยว่า คณะกรรมการ กกพ.มีมติเมื่อวันที่ 10 ก.ค.67 ติรับทราบภาระต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจริงประจำรอบเดือน ม.ค.- เม.ย.67 และเห็นชอบผลการคำนวณประมาณค่าเอฟทีสำหรับงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.67 พร้อมให้สำนักงาน กกพ.นำค่าเอฟทีประมาณการและแนวทางการจ่ายภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ไปรับฟังความคิดเห็นในกรณีต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 12 - 26 ก.ค.67 ก่อนที่จะมีการสรุปและประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป ในการพิจารณาค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ ค่า Ft อาจปรับเพิ่มขึ้นในระดับ 46.83-182.99 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บในงวด ก.ย.-ธ.ค.67 เพิ่มขึ้นเป็น 4.65-6.01 บาทต่อหน่วย จากงวดก่อนหน้าอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย

สำหรับการเปิดรับฟังความเห็นประกอบด้วย 3 กรณี คือ

กรณีที่ 1: ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่า Ft (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างทั้งหมด) ค่า Ft ขายปลีกเท่ากับ 222.71 สตางค์ต่อหน่วยส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.01 บาทต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 44 จากระดับ 4.18 บาทต่อหน่วย ในงวดปัจจุบัน

กรณีที่ 2: กรณีจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 3 งวด ค่า Ft ขายปลีกเท่ากับ 113.78 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.92 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากงวดปัจจุบัน

กรณีที่ 3: กรณีจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 6 งวด ค่า Ft ขายปลีกเท่ากับ 86.55 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.65 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากงวดปัจจุบัน

#ค่าไฟ #กกพ #ข่าววันนี้ #ขึ้นค่าไฟ