โรคแอนแทรคโนส หรือ โรคกุ้งแห้งพริก เป็นโรคที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่ง ทำความเสียหายให้แก่พริกเกือบทุกชนิดและในแหล่งปลูกพริกทุกพื้นที่ หากมีการระบาดของโรครุนแรงจะทำให้ผลผลิตพริกลดลงมากกว่า 50% เกษตรกรจึงมีการใช้สารเคมีในปริมาณสูง ก่อให้เกิดผลเสียโดยตรงต่อผู้ใช้และผู้บริโภค เกิดสารตกค้างในผลผลิต และการปนเปื้อนของสารเคมีในสภาพแวดล้อม ตลอดจนทำให้เกษตรกรต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายและสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมาก
การควบคุมโรคพืชโดยชีววิธีเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาการใช้สารเคมี ตลอดจนเพื่อเพิ่มผลผลิต เพิ่มรายได้ อีกทั้งเพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการลดการใช้สารเคมีทางการเกษตรของประเทศไทย สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร จึงได้ทำการศึกษาวิจัยและพัฒนาแบคทีเรียกลุ่ม Bacillus ที่มีศักยภาพในการควบคุมโรค เพื่อผลิตเป็นชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดโรคกุ้งแห้งพริก จนได้ B. subtilis ไอโซเลท 20W33 และ ไอโซเลท 20W16 ที่มีประสิทธิภาพ สูงสุดในการควบคุมโรคกุ้งแห้งพริก จึงได้นำมาพัฒนาผลิตเป็นชีวภัณฑ์บีเอส เพื่อนำไปใช้ในการควบคุมโรคกุ้งแห้งพริกในระดับแปลงปลูก
ในแปลงเกษตรกรในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคกุ้งแห้งรุนแรงและมักพบโรคระบาดสม่ำเสมอทุกฤดูปลูก เกษตรกรต้องทำการพ่นสารชีวภัณฑ์ Bs ตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ โดยควรพ่นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อกล้าเริ่มตั้งตัวหลังการย้ายปลูก พ่นครั้งที่ 2 เมื่อพริกเริ่มออกดอก หลังจากนั้นพ่นทุก 5-7 วัน ในอัตรา 40-50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ในแปลงที่พบการระบาดรุนแรงจะทำให้ลดการระบาดของโรค และทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน ได้มีการขยายผลงานวิจัยโดยถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตชีวภัณฑ์ Bs ไปยังหน่วยงานในส่วนภูมิภาคของกรมวิชาการเกษตร เพื่อผลิตเป็นชีวภัณฑ์มอบให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาผลิตพืชอินทรีย์หรือพืชปลอดภัย ตลอดจนเกษตรแปลงใหญ่ ภายใต้โครงการขับเคลื่อนการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืช และโครงการไทยนิยมยั่งยืน
นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถนำชีวภัณฑ์ Bs ไปใช้ในการผลิตพริกในแปลงพริกอินทรีย์ หรือแปลงเกษตรปลอดภัยได้ เป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นลดการใช้เคมีทางการเกษตร ซึ่งช่วยลดสารตกค้างทั้งในผลิตผลและสภาพแวดล้อม เกิดความปลอดภัยต่อเกษตรผู้ใช้ ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม และผลผลิตที่ได้จะมีราคาสูงกว่าผลผลิตที่ใช้สารเคมี ทำให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตและสุขอนามัยที่ดี รวมทั้งยังช่วยลดปัญหาการกีดกันทางการค้าในการส่งออกผลผลิตพริก โดยกรมวิชาการเกษตรพร้อมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตชีวภัณฑ์ Bs ให้ภาคเอกชนเพื่อพัฒนาและต่อยอดผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไป
ในแปลงเกษตรกรในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคกุ้งแห้งรุนแรงและมักพบโรคระบาดสม่ำเสมอทุกฤดูปลูก เกษตรกรต้องทำการพ่นสารชีวภัณฑ์ Bs ตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ โดยควรพ่นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อกล้าเริ่มตั้งตัวหลังการย้ายปลูก พ่นครั้งที่ 2 เมื่อพริกเริ่มออกดอก หลังจากนั้นพ่นทุก 5-7 วัน ในอัตรา 40-50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ในแปลงที่พบการระบาดรุนแรงจะทำให้ลดการระบาดของโรค และทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน ได้มีการขยายผลงานวิจัยโดยถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตชีวภัณฑ์ Bs ไปยังหน่วยงานในส่วนภูมิภาคของกรมวิชาการเกษตร เพื่อผลิตเป็นชีวภัณฑ์มอบให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาผลิตพืชอินทรีย์หรือพืชปลอดภัย ตลอดจนเกษตรแปลงใหญ่ ภายใต้โครงการขับเคลื่อนการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืช และโครงการไทยนิยมยั่งยืน
นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถนำชีวภัณฑ์ Bs ไปใช้ในการผลิตพริกในแปลงพริกอินทรีย์ หรือแปลงเกษตรปลอดภัยได้ เป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นลดการใช้เคมีทางการเกษตร ซึ่งช่วยลดสารตกค้างทั้งในผลิตผลและสภาพแวดล้อม เกิดความปลอดภัยต่อเกษตรผู้ใช้ ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม และผลผลิตที่ได้จะมีราคาสูงกว่าผลผลิตที่ใช้สารเคมี ทำให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตและสุขอนามัยที่ดี รวมทั้งยังช่วยลดปัญหาการกีดกันทางการค้าในการส่งออกผลผลิตพริก โดยกรมวิชาการเกษตรพร้อมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตชีวภัณฑ์ Bs ให้ภาคเอกชนเพื่อพัฒนาและต่อยอดผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไป