รมช. เกษตรฯ ตรวจด่านชายแดนไทย-กัมพูชา สั่งการเข้มเฝ้าระวังโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรระบาดข้ามประเทศ หวั่นแรงงานกลับมาหลังหยุดสงกรานต์ เดินทางเข้าไทยนำผลิตภัณฑ์สุกรติดตัว สั่งยึดทำลายทันที ห้ามรถขนส่งสุกรข้ามจากไทยไปกัมพูชา
เมื่อวันที่ 18 เม.ย.62 นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบนโยบายมาตรการการป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever) ของประเทศไทย แก่เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ และเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ณ ห้องประชุมโรงแรมสเตชั่นวัน อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระเเก้ว พร้อมกันนี้ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบสัมภาระที่ผ่านเข้าออกบริเวณด่าน และตรวจเยี่ยมกระบวนการตรวจสอบสัมภาระประชาชนและนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านที่จะนำติดตัวเข้ามาประเทศไทย
นายลักษณ์ กล่าวว่า ได้กำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้แก่ ด่านกักกันสัตว์ ด่านตรวจคนเข้าเมือง ด่านตรวจพืช ด่านตรวจสัตว์น้ำ ด่านควบคุมโรค ด่านศุลกากร เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจเคร่งครัดการเฝ้าระวังโรคโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever : ASF) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติให้แผนเตรียมความพร้อมรับมือโรค ASF เป็นวาระแห่งชาติ ล่าสุดได้ระบาดจากจีน เวียดนาม เข้าสู่กัมพูชา ล่าสุดผู้ว่าราชการจังหวัด 16 จังหวัดตามแนวชายแดนประกาศเป็นเขตเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์ได้แก่ จังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน หนองคาย น่าน บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร เลย อุตรดิตถ์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี อานาจเจริญ สระแก้ว จันทบุรี และตราด เพื่อบูรณาการทุกหน่วยงานในจังหวัดช่วยป้องกัน เตรียมแนวทางรับมือ และฟื้นฟูเกษตรกรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
จากสถานการณ์การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรมีการแพร่ระบาดขยายเป็นวงกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบันได้มีการระบาดใน 18 ประเทศ หลายภูมิภาคทั่วโลก สำหรับทวีปเอเชียพบการระบาดครั้งแรกที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อมามีรายงานการระบาดที่ประเทศมองโกเลีย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งสถานการณ์การระบาดของโรคในแต่ละประเทศยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่เชื้อไวรัสโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรเข้าสู่ประเทศมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น การเดินทางเพื่อการท่องเที่ยว การค้าขาย การขนส่งสินค้า ปัจจัยสิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่มีข้อจำกัดด้านชายแดนที่มีระยะทางยาว เป็นต้น รวมถึงความต้องการสุกรและผลิตภัณฑ์สูงขึ้น ส่งผลให้มีการลักลอบนำเข้าผลิตภัณฑ์สุกรโดยนักท่องเที่ยวตามแนวชายแดน อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์ ได้เข้มงวดจับกุมการลักลอบเคลื่อนย้ายสุกร ซากสุกร และผลิตภัณฑ์สุกรที่นักท่องเที่ยวนำมาบริโภคอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่มีการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2561 จนถึงวันที่ 29 มีนาคม 2562 ได้มีการตรวจยึดการลักลอบเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์จากสุกร จำนวน 344 ครั้ง และผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการปนเปื้อนสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร จำนวน 59 ตัวอย่าง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำแผนเตรียมความพร้อมรับมือโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรในประเทศไทย โดยคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา แบ่งการดำเนินการเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.ด้านโครงสร้างการบริหารจัดการและขับเคลื่อนมาตรการ โดยจัดให้มีคณะกรรมการอำนวยการป้องกัน ควบคุมและกำจัดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรแห่งชาติ ประกอบด้วย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคสหกรณ์ผู้เลี้ยงสัตว์ และภาคเอกชน และ2.แผนการดำเนินงานและแผนใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินงาน โดยแผนการดำเนินงาน แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะก่อนเผชิญเหตุการระบาด ระยะเผชิญเหตุการระบาด และระยะภายหลังเผชิญเหตุการระบาด ซึ่งมีแผนใช้จ่ายงบประมาณในปี 2562 - 2554 ในการดำเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 148,542,900 บาท
นอกจากนี้ การดำเนินการตามแผนเตรียมความพร้อมดังกล่าว ยังแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน โดยจะดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค และระยะยาว โดยจะยกระดับมาตรการการควบคุมป้องกันโรคให้มีมาตรฐานสากล โดยจัดสร้างโรงทำลายซากสัตว์ติดเชื้อ เนื่องจากเชื้ออหิวาต์แอฟริกาในสุกรมีความคงทนในสภาพแวดล้อมสูง อีกทั้งหากทำลายโดยการฝังจะต้องใช้พื้นที่จำนวนมากและการดำเนินการทำลายเป็นไปด้วยความยากลำบาก มีโอกาสที่เชื้อจะตกค้างและแพร่กระจายในสิ่งแวดล้อม หรือหากทำลายโดยวิธีการเผาจะก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม จึงจำเป็นต้องมีวิธีการกำจัดซากที่ติดเชื้ออย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว อีกทั้งหากกรณีไม่มีการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรยังสามารถใช้ในการกำจัดซากสัตว์ติดเชื้อของโรคระบาดอื่น ๆ ได้อีกด้วย จึงถือเป็นมาตรการควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพได้อย่างยั่งยืน
"ขอยืนยันว่ายังไม่มีการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโรคดังกล่าวจะไม่ติดต่อสู่คน แต่โรคนี้มีความรุนแรงที่จะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ กระทรวงเกษตรฯ จึงได้มีการประกาศเขตเฝ้าระวังในพื้นที่เขตจังหวัดชายแดนทั้งหมด 16 จังหวัดทั่วประเทศ และแผนการดำเนินการป้องกันโรคดังกล่าว ยังได้นำสู่คณะรัฐมนตรีเพื่อเป็นวาระแห่งชาติ กระทรวงเกษตรฯ จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถสกัดกั้นโรคนี้ไม่ให้เข้ามาสู่ประเทศไทยได้ ทั้งนี้ หากประเทศไทยมีระบบการป้องกันโรคที่ดี รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้มีระบบการทำลายสุกรที่เป็นโรคและซากสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคระบาดเป็นไปตามมาตรฐานสากล สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคในประเทศได้ จะเป็นโอกาสทางธุรกิจเนื่องจากความต้องการสุกรของสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และราชอาณาจักรกัมพูชา เพิ่มสูงขึ้น จากเดิมก่อนเกิดโรคราคาสุกรมีชีวิตของประเทศไทยกิโลกรัมละ 60 บาท ภายหลังเกิดโรคคาดการณ์ว่าจะทำให้ราคาสุกรในประเทศมีราคาเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 80 บาท ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 44,000 ล้านบาทต่อปี"รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร กล่าว
ด้าน นายสัตวแพทย์จีระศักดิ์ พิพัฒนพงศ์โสภณ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาการตามด่านพรมแดนมีการสัญจรผ่านอย่างคับคั่ง จึงเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้ผู้เดินทางทราบถึงข้อกำหนดในการเฝ้าระวังโรคเพิ่มขึ้นด้วยสื่อต่างๆ ได้แก่ เสียงตามสายและประกาศที่ด่านพรมแดน ให้ปศุสัตว์จังหวัด และปศุสัตว์อำเภอทำความเข้าใจกับประชาชนงดการนำเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์จากกัมพูชาเข้ามาค้าขายหรือประกอบอาหาร อีกทั้งให้กองสารวัตรและกักกันจัดกำลังคนเพื่อช่วยในจุดที่ขาด ให้ตรวจค้นผู้เดินทางเข้าไทยเป็นรายบุคคล หาพบนำซากสัตว์และผลิตภัณฑ์สัตว์ให้ยึดของกลางที่ติดตัวมากับผู้เดินทาง แล้วใช้มาตรการทางการปกครองเช่น การกักตัว และ/หรือยึดบัตรผ่านแดนชั่วคราว (รายวัน) แต่หากลักลอบนำเข้าเพื่อขายให้จับกุมดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558
“สำหรับการส่งออกสุกรไปกัมพูชานั้น ทางสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติซึ่งกำกับดูแลผู้ประกอบการส่งออกสุกรไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ให้เปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง เป็นการนำยานพาหนะขนถ่ายข้ามแดน ถ่ายสุกรส่งออกจากประเทศไทยที่บริเวณพรมแดน และห้ามนำรถภายในประเทศเข้าไปส่งสุกรในกัมพูชา พร้อมทั้งให้พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อทั้งก่อน และหลังการขนส่ง ซึ่งจะได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมปศุสัตว์และสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติในการควบคุมโรคและปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสุกร เพื่อให้การป้องกันโรคเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะได้ผลักดันให้ออกเป็นประกาศกรมปศุสัตว์เพื่อให้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายต่อไป” รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้เชิญเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยในอำเภอตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มาประชุมเพื่อสร้างการรับรู้ถึงสถานการณ์ของโรค ASF อีกทั้งให้ปฏิบัติตามระบบความปลอดภัยทางชีวภาพอย่างเคร่งครัด รวมทั้งได้ขอความร่วมมือในการแจ้ง หากพบความผิดปกติของสุกรในฟาร์ม ซึ่งทางสมาคมผู้เลี้ยงสุกรทั้ง 6 ภาคพร้อมจะจ่ายค่าชดเชยกรณีที่มีการแจ้งโรคเป็นครั้งแรก เป็นไปตามหลักของกรมปศุสัตว์ที่ต้องรู้โรคเร็ว ควบคุมโรคได้เร็ว เพื่อให้โรคสงบเร็วที่สุด
จากสถานการณ์การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรมีการแพร่ระบาดขยายเป็นวงกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบันได้มีการระบาดใน 18 ประเทศ หลายภูมิภาคทั่วโลก สำหรับทวีปเอเชียพบการระบาดครั้งแรกที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อมามีรายงานการระบาดที่ประเทศมองโกเลีย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งสถานการณ์การระบาดของโรคในแต่ละประเทศยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่เชื้อไวรัสโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรเข้าสู่ประเทศมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น การเดินทางเพื่อการท่องเที่ยว การค้าขาย การขนส่งสินค้า ปัจจัยสิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่มีข้อจำกัดด้านชายแดนที่มีระยะทางยาว เป็นต้น รวมถึงความต้องการสุกรและผลิตภัณฑ์สูงขึ้น ส่งผลให้มีการลักลอบนำเข้าผลิตภัณฑ์สุกรโดยนักท่องเที่ยวตามแนวชายแดน อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์ ได้เข้มงวดจับกุมการลักลอบเคลื่อนย้ายสุกร ซากสุกร และผลิตภัณฑ์สุกรที่นักท่องเที่ยวนำมาบริโภคอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่มีการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2561 จนถึงวันที่ 29 มีนาคม 2562 ได้มีการตรวจยึดการลักลอบเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์จากสุกร จำนวน 344 ครั้ง และผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการปนเปื้อนสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร จำนวน 59 ตัวอย่าง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำแผนเตรียมความพร้อมรับมือโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรในประเทศไทย โดยคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา แบ่งการดำเนินการเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.ด้านโครงสร้างการบริหารจัดการและขับเคลื่อนมาตรการ โดยจัดให้มีคณะกรรมการอำนวยการป้องกัน ควบคุมและกำจัดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรแห่งชาติ ประกอบด้วย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคสหกรณ์ผู้เลี้ยงสัตว์ และภาคเอกชน และ2.แผนการดำเนินงานและแผนใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินงาน โดยแผนการดำเนินงาน แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะก่อนเผชิญเหตุการระบาด ระยะเผชิญเหตุการระบาด และระยะภายหลังเผชิญเหตุการระบาด ซึ่งมีแผนใช้จ่ายงบประมาณในปี 2562 - 2554 ในการดำเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 148,542,900 บาท
นอกจากนี้ การดำเนินการตามแผนเตรียมความพร้อมดังกล่าว ยังแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน โดยจะดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค และระยะยาว โดยจะยกระดับมาตรการการควบคุมป้องกันโรคให้มีมาตรฐานสากล โดยจัดสร้างโรงทำลายซากสัตว์ติดเชื้อ เนื่องจากเชื้ออหิวาต์แอฟริกาในสุกรมีความคงทนในสภาพแวดล้อมสูง อีกทั้งหากทำลายโดยการฝังจะต้องใช้พื้นที่จำนวนมากและการดำเนินการทำลายเป็นไปด้วยความยากลำบาก มีโอกาสที่เชื้อจะตกค้างและแพร่กระจายในสิ่งแวดล้อม หรือหากทำลายโดยวิธีการเผาจะก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม จึงจำเป็นต้องมีวิธีการกำจัดซากที่ติดเชื้ออย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว อีกทั้งหากกรณีไม่มีการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรยังสามารถใช้ในการกำจัดซากสัตว์ติดเชื้อของโรคระบาดอื่น ๆ ได้อีกด้วย จึงถือเป็นมาตรการควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพได้อย่างยั่งยืน
"ขอยืนยันว่ายังไม่มีการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโรคดังกล่าวจะไม่ติดต่อสู่คน แต่โรคนี้มีความรุนแรงที่จะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ กระทรวงเกษตรฯ จึงได้มีการประกาศเขตเฝ้าระวังในพื้นที่เขตจังหวัดชายแดนทั้งหมด 16 จังหวัดทั่วประเทศ และแผนการดำเนินการป้องกันโรคดังกล่าว ยังได้นำสู่คณะรัฐมนตรีเพื่อเป็นวาระแห่งชาติ กระทรวงเกษตรฯ จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถสกัดกั้นโรคนี้ไม่ให้เข้ามาสู่ประเทศไทยได้ ทั้งนี้ หากประเทศไทยมีระบบการป้องกันโรคที่ดี รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้มีระบบการทำลายสุกรที่เป็นโรคและซากสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคระบาดเป็นไปตามมาตรฐานสากล สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคในประเทศได้ จะเป็นโอกาสทางธุรกิจเนื่องจากความต้องการสุกรของสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และราชอาณาจักรกัมพูชา เพิ่มสูงขึ้น จากเดิมก่อนเกิดโรคราคาสุกรมีชีวิตของประเทศไทยกิโลกรัมละ 60 บาท ภายหลังเกิดโรคคาดการณ์ว่าจะทำให้ราคาสุกรในประเทศมีราคาเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 80 บาท ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 44,000 ล้านบาทต่อปี"รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร กล่าว
ด้าน นายสัตวแพทย์จีระศักดิ์ พิพัฒนพงศ์โสภณ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาการตามด่านพรมแดนมีการสัญจรผ่านอย่างคับคั่ง จึงเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้ผู้เดินทางทราบถึงข้อกำหนดในการเฝ้าระวังโรคเพิ่มขึ้นด้วยสื่อต่างๆ ได้แก่ เสียงตามสายและประกาศที่ด่านพรมแดน ให้ปศุสัตว์จังหวัด และปศุสัตว์อำเภอทำความเข้าใจกับประชาชนงดการนำเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์จากกัมพูชาเข้ามาค้าขายหรือประกอบอาหาร อีกทั้งให้กองสารวัตรและกักกันจัดกำลังคนเพื่อช่วยในจุดที่ขาด ให้ตรวจค้นผู้เดินทางเข้าไทยเป็นรายบุคคล หาพบนำซากสัตว์และผลิตภัณฑ์สัตว์ให้ยึดของกลางที่ติดตัวมากับผู้เดินทาง แล้วใช้มาตรการทางการปกครองเช่น การกักตัว และ/หรือยึดบัตรผ่านแดนชั่วคราว (รายวัน) แต่หากลักลอบนำเข้าเพื่อขายให้จับกุมดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558
“สำหรับการส่งออกสุกรไปกัมพูชานั้น ทางสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติซึ่งกำกับดูแลผู้ประกอบการส่งออกสุกรไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ให้เปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง เป็นการนำยานพาหนะขนถ่ายข้ามแดน ถ่ายสุกรส่งออกจากประเทศไทยที่บริเวณพรมแดน และห้ามนำรถภายในประเทศเข้าไปส่งสุกรในกัมพูชา พร้อมทั้งให้พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อทั้งก่อน และหลังการขนส่ง ซึ่งจะได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมปศุสัตว์และสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติในการควบคุมโรคและปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสุกร เพื่อให้การป้องกันโรคเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะได้ผลักดันให้ออกเป็นประกาศกรมปศุสัตว์เพื่อให้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายต่อไป” รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้เชิญเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยในอำเภอตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มาประชุมเพื่อสร้างการรับรู้ถึงสถานการณ์ของโรค ASF อีกทั้งให้ปฏิบัติตามระบบความปลอดภัยทางชีวภาพอย่างเคร่งครัด รวมทั้งได้ขอความร่วมมือในการแจ้ง หากพบความผิดปกติของสุกรในฟาร์ม ซึ่งทางสมาคมผู้เลี้ยงสุกรทั้ง 6 ภาคพร้อมจะจ่ายค่าชดเชยกรณีที่มีการแจ้งโรคเป็นครั้งแรก เป็นไปตามหลักของกรมปศุสัตว์ที่ต้องรู้โรคเร็ว ควบคุมโรคได้เร็ว เพื่อให้โรคสงบเร็วที่สุด