ที่ประชุมรัฐสภา ตลอด 2 วัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความดุเดือด ตามความคาดหมาย เมื่อ วาระการแถลงนโยบายรัฐบาล กลายเป็นการเปิดฉาก “ถล่ม” กันเอง ทั้งยังเป็นการแฉเบื้องลึก เบื้องหลัง ความขัดแย้ง ระหว่าง “สีแดง” กับ “สีน้ำเงิน” กลางสภาฯ
พรรคเพื่อไทย หยิบปมร้อนที่พันกับ ตัวนายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล และแกนนำพรรคภูมิใจไทย ในคดีฮั้วเลือกสว. ซึ่งแน่นอนว่า พัวพันไปถึง “สว.สีน้ำเงิน” ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา ในการเลือกสว.
นอกจากนี้ยังมีคดีที่ดินเขากระโดง ซึ่งพรรคเพื่อไทย กังวลว่า เมื่อรัฐบาลใหม่ ที่นำโดย “พรรคภูมิใจไทย” เข้ามาจะมีการแทรกแซง 2คดีใหญ่นี้ด้วยหรือไม่
แต่ที่ทำเอาห้องประชุมร้อนระอุ ขึ้นมา คือการที่ “จิราพร สินธุไพร” สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปราย นายกฯอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย ทั้งไม่เชื่อว่า รัฐบาลชุดนี้จะยุบสภาฯภายใน 4 เดือนจริง แต่หวังอยู่ยาว 4ปี
รวมทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่า การตั้งรัฐบาลใหม่ของพรรคสีน้ำเงิน เกิดสถานการณ์ตึงเครียดที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทันทีจิราพร ชี้ว่า เป็นการตั้งรัฐบาลด้วยดีลพิสดาร ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ
แต่ที่ทำเอาหลายคนฮือฮาเมื่อนายกฯอนุทิน นอกจากจะโต้กลับว่าเขาเองไม่เคยรู้จักกับ สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภา เป็นการส่วนตัว ไม่มีลุง ไม่มีอังเคิล เท่านั้น ทว่างานนี้นายกฯ ยังเล่าเบื้องหลังที่ถูดยึดเก้าอี้ “มท. 1” ว่า แพทองธาร มาบอกกับตนเองว่าจะให้ย้ายไปอยู่ กระทรวงสาธารณสุข เพราะใกล้เลือกตั้งแล้ว พรรคเพื่อไทย ต้องการคุมกระทรวงมหาดไทย จนในที่สุด พรรคเพื่อไทย สามารถเอากระทรวงมหาดไทย ไปได้
นายกฯอนุทิน ทิ้งท้ายว่า “ เชื่อว่าท่านนายกฯแพทองธาร ท่านไม่ได้พูดจากความต้องการในใจการของท่านเอง ต้องมีคนบอกให้ท่านพูด เพราะในที่สุดเลขาธิการนายกฯของท่านก็มายืนยันไพ่ใบสุดท้าย ตนหวังว่าคนที่พูดคำว่าน่าจะจำได้ ไพ่ใบสุดท้าย คุณไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข”
ตลอดห้วงเวลา 2 วัน จะพบว่า ห้องประชุมรัฐสภา ไม่ต่างไปจาก “สังเวียน” ที่ทั้ง พรรคเพื่อไทย คือ “ฝ่ายแค้น” ส่งขุนพล อภิปรายพุ่งเป้าไปที่ “จุดอ่อน” ของ รัฐบาลใหม่ ที่มีภูมิใจไทย เป็นแกนหลัก ทั้ง คดีที่ดินเขากระโดง และคดีฮั้วเลือกสว. ซึ่งวันนี้คดียังคงเดินหน้าต่อ
ขณะที่พรรคภูมิใจไทยเอง ซึ่งถูกบีบ ให้ต้องกลายเป็น ฝ่ายค้าน เมื่อพรรคเพื่อไทย ปรับพ้นครม. อดีตนายกฯแพทองธาร ก่อนที่คดีคลิปเสียงจะมาปิดฉาก รัฐบาล “แพทองธาร 1” จนทำให้พรรคภูมิใจไทย พลิกกลับไปเป็น “รัฐบาล” แม้จะเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” และอยู่ในเงื่อนไข MOA ที่ทำเอาไว้กับพรรคประชาชน พรรคส้ม
แต่พรรคสีน้ำเงินเองประเมินได้ว่า วันนี้ “จุดอ่อน” ของพรรคเพื่อไทย อยู่ที่คนในครอบครัวชินวัตร ทั้งแพทองธาร และ “ ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งวันนี้ต้องกลับเข้าไปสู่เรือนจำตามคำพิพากษาของศาลฯ เป็นเวลา 1ปี
ส่วนพรรคประชาชน เอง ดูเหมือนว่าต้องเล่นด้วยกันหลายบทบาท ทั้งการทำหน้าที่ “ฝ่ายค้าน” ที่ถูกสังคมตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ต่างจาก “ฝ่ายค้ำ” ให้กับพรรคภูมิใจไทย เสียมากกว่า ความสับสนอลหม่านที่เกิดขึ้นในรัฐสภา ในการแถลงนโยบายรัฐบาลของครม.ใหม่ “อนุทิน1” จึงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง และย้อนแย้งทางการเมืองอย่างที่เห็น
อย่างไรก็ดี ฉากการต่อสู้ระหว่าง พรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย ในวันนี้อาจแค่ “สงบศึก” แต่เมื่อสนามเลือกตั้ง เกิดขึ้นในต้นปีหน้า 2569 อาจจะได้เห็น “ศึกภาคต่อ” เพราะแค้นนี้ ยังชำระกันไม่จบ แม้นายกฯอนุทิน จะอภิปรายปิดการแถลงนโยบายในช่วงเย็นวันนี้ว่าจะอโหสิให้กันก็ตาม
"เรื่องการเอามีดตัดมือตัวเอง สำหรับอนุทินไม่เคยมี คนที่เอามีดตัดมือตัวเอง ตัดแขนตัวเอง ก็คือคนที่ให้ผมออกจากรัฐบาลที่แล้ว ไม่งั้นก็ไม่มีวันนี้ ฉะนั้นเราเห็นสิ่งที่มันไม่ดีเกิดขึ้นมาแล้ว และก็เป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ด้วย แต่ขอให้มันจบ และอโหสิกัน แล้วจบกันไป
จากนี้ไปเรามาแข่งกันทำคุณงามความดีขายนโยบายให้กับประชาชนอีก 4 เดือนยุบสภา และจากนั้น 2 เดือนเราก็มาเลือกตั้งกันด้วยความบริสุทธิ์โปร่งใส รับรองว่าไม่ใช่เป็ดง่อย นี่หนู ไม่ใช่เป็ด ฉะนั้นหนูไม่ง่อย เป็ดอาจจะง่อย”