วันที่ 30 ก.ย.2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ วันที่สอง
ต่อมา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายตั้งข้อสงสัยการเคลื่อนไหวซื้อหุ้นบริษัท บางจาก คอร์เปอเรชัน จำกัด (มหาชน) โดยทุนต่างชาติที่อาจเชื่อมโยงกับ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ นักลงทุนชาวต่างชาติผู้มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยปี 2567 มีกองทุนลึกลับพยายามเข้าซื้อหุ้นบางจากฯ ที่กองทุนประกันสังคมถืออยู่กว่า 14% มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท แต่ไม่สามารถระบุตัวตนผู้ซื้อที่แท้จริงได้ ทำให้ดีลไม่เกิดขึ้น ต่อมากองทุนจากสิงคโปร์เข้ามาถือหุ้นบางจากฯ ชั่วคราว ก่อนรีบขายออกถึง 9% ให้กับบริษัทไทย และมีการกวาดซื้อหุ้นต่อเนื่องจนถือครองถึง 20% ซึ่งเส้นทางนี้โยงไปถึงเครือข่ายของนายเบนจามินโดยตรง
นายวิโรจน์ กล่าวว่า นายเบนจามินไม่ใช่เพียงนักลงทุนต่างชาติ แต่ยังถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีส่วนพัวพันกับทุนสีเทาและขบวนการคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา ซึ่งมีมูลค่าการเงินหมุนเวียนสูงถึง 4-6 แสนล้านบาท หรือราว 60% ของจีดีพีกัมพูชา ขณะที่ประเทศไทยเองเสียหายปีละกว่า 135,000 ล้านบาท มีประชาชนตกเป็นเหยื่อคอลเซ็นเตอร์มากกว่าแสนล้านบาทต่อปี นายเบนจามินไม่ได้แค่มีเครือข่ายในกัมพูชา แต่ยังมีความสัมพันธ์กับนักการเมืองไทย ปรากฏภาพถ่ายนั่งร่วมกับ นายทักษิณ ชินวัตร และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ รวมถึงการเข้าร่วมงานทอดกฐินที่ จ.อุตรดิตถ์ ทำให้เกิดคำถามต่อความเชื่อมโยงเชิงผลประโยชน์
ขณะเดียวกัน ยังมีรายงานว่า นายเบนจามินได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของ ฮุน เซน โดยตรง อีกทั้งภรรยาของเขา นางแคทรียา บีเวอร์ ยังถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในผู้จัดการกองทุนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการลงทุนในไทย โดยเว็บไซต์ของกลุ่มทุนต่างชาติ ถึงขั้นนำชื่อ นายวรภัค ธันยาวงศ์ รมช.คลัง ไปอ้างเป็นที่ปรึกษา แต่ก็ออกมาปฏิเสธและยืนยันไม่เคยรับตำแหน่งใดในบริษัทดังกล่าว
นายวิโรจน์ ยังตั้งคำถามว่า หากการซื้อหุ้นเหล่านี้ ใช้เงินสีดำจากอาชญากรรมไซเบอร์ เท่ากับว่าเงินสกปรกกำลังทะลักเข้าสู่ตลาดทุนไทย และอาจขยายอิทธิพลครอบงำระบบการเงิน การธนาคาร ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งจะก่อให้เกิดหายนะทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว และโยงถึงกรณี แพลตฟอร์มคริปโตคูคอยน์ ที่เคยถูกปรับในสหรัฐ แต่เข้ามาซื้อกิจการในไทย จนเชื่อมโยงกับโครงการพันธบัตรดิจิทัลของกระทรวงการคลัง เสี่ยงกลายเป็นเครื่องมือฟอกเงินชั้นดี
หากปล่อยให้ทุนสีเทาเหล่านี้เข้ามาผูกพันกับโครงการรัฐ จะทำให้ประเทศไทยเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสังคมโลก ดังนั้นการขยายธุรกิจของบางจากฯ ที่ร่วมมือกับบริษัทเชฟรอนสำรวจปิโตรเลียมในอ่าวไทย ซึ่งมีพื้นที่ทับซ้อนกับ MOU 44 ไทย-กัมพูชา หากนักการเมืองไทยและกัมพูชา ดีลกันลงตัว ผลประโยชน์มหาศาลจากปิโตรเลียมอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของทุนสีเทา
ทำให้นายไชยวัฒนา ติณรัตน์ สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ลุกประท้วงทันที โดยยืนยันว่า หากพรรคเพื่อไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุนเทา ให้เอาไปตัดหัวทิ้งได้เลย ด้าน นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล วิปฝ่ายค้าน สวนกลับว่า ไม่จำเป็นต้องร้อนตัวจนหูดับ เพราะนี่เป็นข้อสงสัยที่ควรเปิดเผยต่อสาธารณะ
นายวิโรจน์ กล่าวว่า การอภิปรายครั้งนี้ไม่ใช่การยืนยันข้อกล่าวหา แต่เป็นการตั้งข้อสงสัยเพื่อให้รัฐบาลและหน่วยงานตรวจสอบ หากเงินลงทุนเหล่านี้เป็นเงินสะอาดก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเงินสีดำ ก็ถือเป็น “หายนะระดับชาติ” เพราะไม่เพียงจะทำลายระบบเศรษฐกิจ แต่ยังบ่อนทำลายหลักนิติธรรมและความมั่นคงของประเทศโดยตรง
“ผมขอเรียกร้องให้ท่านนายกฯ อนุทิน สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ปปง. ป.ป.ช. และกระทรวงการต่างประเทศ ตรวจสอบอย่างเร่งด่วน รวมถึงการเข้าร่วมอนุสัญญาต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นสวรรค์ของมาเฟียข้ามชาติ” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า หากปล่อยให้ทุนเทาผสมพันธุ์กับนักการเมืองไทย ไม่เฉพาะหุ้นบางจากฯ แต่แม้กระทั่ง ปตท. ธนาคารกรุงไทย หรือธนาคารไทยพาณิชย์ ก็อาจถูกยึดครองได้ในอนาคต พร้อมเตือนว่านี่ไม่ใช่เพียงปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่คือการรุกรานทางการเมืองและความมั่นคงที่ประชาชนไทยทั้งประเทศต้องตระหนัก