กรมการค้าต่างประเทศ พร้อมให้บริการเพื่อรองรับการใช้บังคับพิธีสารฉบับที่สองเพื่อแก้ไขความตกลงเพื่อการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน – ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์ (AANZFTA) ที่จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568
วันที่ 30 กันยายน 2568 นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ความตกลง AANZFTA ฉบับใหม่ หรือที่เรียกว่า พิธีสารฉบับที่สองเพื่อแก้ไขความตกลง AANZFTA ที่ได้มีการแก้ไขปรับปรุงความตกลงฉบับเดิมให้มีความทันสมัยและรองรับรูปแบบทางการค้าใหม่ ๆ กำลังจะมีผลบังคับใช้ระหว่างไทยกับ 7 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ บรูไนดารุสซาลาม มาเลเซีย สปป.ลาว และเวียดนาม และตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป กับเมียนมา ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศได้เตรียมการสำหรับการบังคับใช้ของพิธีสารฉบับที่สองดังกล่าวไว้พร้อมแล้ว
นางอารดาฯ เพิ่มเติมว่า ความตกลง AANZFTA มีผลบังคับใช้มาร่วม 15 ปีแล้วตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 โดยได้ปรับปรุงแก้ไขความตกลงครั้งที่ 1 ไปเมื่อปี 2558 และปรับปรุงครั้งที่ 2 คือครั้งนี้ในปี 2568 โดยมี การแก้ไขกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin: ROO) ให้สอดคล้องกับกระบวนการผลิตสินค้าในปัจจุบันมากขึ้น จำนวน 253 รายการ เช่น ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของยานยนต์ เครื่องซักแห้ง เครื่องซักผ้าขนาด 10 กิโลกรัม เครื่องวัดระดับที่ใช้ในการสำรวจ ประตู หน้าต่าง กรอบของประตูหน้าต่าง และธรณีประตู เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ปรับให้การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้ารองรับรูปแบบทางการค้าใหม่ ๆ เช่น การอนุญาตให้แบ่งการส่งออก หรือการขายผ่านนายหน้าประเทศที่สามหลายทอด และที่สำคัญคือการให้ผู้ส่งออกรับอนุญาต (Approved Exporter) รับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองได้ โดยเป็นวิธีการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าเพิ่มเติมจากเดิมที่มีเพียงรูปแบบของการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin – C/O) เท่านั้น เพื่อลดต้นทุนและลดภาระเอกสารส่งออกให้กับภาคธุรกิจในการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลง AANZFTA
นางอารดา กล่าวต่อว่า ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ถือเป็นประเทศคู่ค้าที่มีความสัมพันธ์แข็งแกร่งกับไทยมาอย่างยาวนาน โดยไทยมี FTA กับทั้งสองประเทศรวม 4 ฉบับ ได้แก่ ไทย-ออสเตรเลีย ไทย-นิวซีแลนด์ อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ และ RCEP ซึ่งผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้ FTA ที่เหมาะสมในการส่งออกสินค้าไปยังออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งสำหรับ AANZFTA ถือว่าเป็นความตกลงที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงเป็นอันดับที่ 7 โดยในปี 2568 (มกราคม - กรกฎาคม) มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 2,038.01 ล้านดอลลาร์สหรัฐแบ่งเป็นการใช้สิทธิฯ เพื่อส่งออกไปออสเตรเลีย 1,932.54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนิวซีแลนด์ 105.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสินค้าที่มีการใช้สิทธิฯ สูง 3 อันดับแรกที่ส่งไปออสเตรเลีย ได้แก่ รถกระบะ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่งที่มีเครื่องยนต์เกิน 2,500 ซีซี รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่งที่มีเครื่องยนต์ 1,500 – 2,500 ซีซี และไปนิวซีแลนด์ ได้แก่ แผ่นหรือแถบทำด้วยอะลูมิเนียมเจือ บิสกิตและผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เส้นหมี่หรือวุ้นเส้น
“กรมการค้าต่างประเทศพร้อมดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการเร่งรัดการเจรจาและใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA โดยนอกจากเข้าร่วมการเจรจาแล้ว กรมการค้าต่างประเทศยังเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและเร่งรัดการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ผ่านการอบรมสัมมนา และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการด้วยการยกระดับการให้บริการให้มีความทันสมัย ปรับลดขั้นตอน และกระบวนการพิจารณาอนุมัติ ให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ได้สะดวกรวดเร็วและลดต้นทุนทางด้านเอกสารได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันระบบ DFT SMART C/O ของกรมฯ สามารถให้บริการออก C/O ภายใต้ FTA ทั้งหมด 13 ฉบับ ยกเว้นไทย - นิวซีแลนด์ ที่ใช้การรับรองตนเองของผู้ส่งออก (Self-Declaration) ลงบนเอกสารทางการค้า โดยไม่ผ่านกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นขอ C/O ผ่านระบบได้ตลอด 24 ชั่วโมง ได้รับการอนุมัติ C/O ภายใน 1 วันหลังจากที่ยื่นคำขอ ติดตามสถานะคำขอได้ตลอดกระบวนการ และสามารถปริ๊นท์ C/O เองได้ที่สำนักงานของท่านโดยไม่ต้องมาที่กรมฯ และสำหรับความตกลง AANZFTA กรมการค้าต่างประเทศได้เตรียมเปิดระบบทั้งหมดไว้พร้อมแล้ว โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นตรวจคุณสมบัติด้านถิ่นกำเนิดสินค้าได้แล้วตั้งแต่วันนี้ และสามารถยื่นขอ C/O ตามพิธีสารฉบับที่สองฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไป” นางอารดาฯ กล่วว