วันที่ 30 ก.ย.2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา มีนายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ วันที่สอง

โดยนายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า แม้คำแถลงของนายกรัฐมนตรี จะเต็มไปด้วยถ้อยคำสวยหรู แต่กลับขัดแย้งกับการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดนี้ ซึ่งนโยบายที่นายอนุทิน แถลงมีถ้อยคำที่ดูดี เช่น จะเร่งแก้ปัญหาประเทศ ยึดมั่นในหลักนิติธรรม ขจัดทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาด ยึดประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง แต่เมื่อพิจารณาการแต่งตั้งรัฐมนตรี พบว่าหลายคนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ขาดศักยภาพ และบางรายยังมีประเด็นที่ถูกตั้งคำถามในสังคม “นอมินีของผู้มีอำนาจตัวจริงในพรรคภูมิใจไทย”

นายก่อแก้ว กล่าวว่า การแต่งตั้งบุคคลสำคัญ 3 ราย คือ นายโสภณ ซารัมย์ ได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ทั้งที่เป็นคนใกล้ชิดนายเนวิน ชิดชอบ และสังคมยังจำได้ถึงเหตุการณ์ปี 2554 เมื่อบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ถูกปล้นเงินสดกว่า 200 ล้านบาท โดยคนร้ายยืนยันว่าภายในมีไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ถ้าบ้านปลัดยังมีเงินสดขนาดนี้ บ้านรัฐมนตรีจะมีมากขนาดไหน พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรียุติธรรม ทั้งที่เป็นเพียงอดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 และใกล้ชิดครูใหญ่เนวิน ทั้งที่กระทรวงนี้ควรเป็นตำแหน่งของแกนนำหลักในพรรค แต่กลับแต่งตั้งบุคคลภายนอกซึ่งไม่ต้องผูกพันสร้างผลงานให้พรรค

นายก่อแก้ว ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการแต่งตั้งเพื่อภารกิจเฉพาะ เช่น “คดีฮั้วเลือกตั้ง ส.ว.” ที่แกนนำภูมิใจไทยถูกสอบสวนอยู่ และ นายไชยชนก ชิดชอบ ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งที่ถูกตั้งคำถามเรื่องประสบการณ์และศักยภาพ ขณะที่ตำแหน่งนี้ต้องการบุคคลที่ทำงานได้ทันทีเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน โดยเฉพาะการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์และแก๊ง Call Center Scam ที่กลับมาระบาดอีกครั้ง

นายก่อแก้ว กล่าวต่อว่า การแต่งตั้งเช่นนี้ไม่ใช่การยึดประโยชน์ประเทศเป็นหลัก แต่เป็นระบบอุปถัมภ์เพื่อพวกพ้อง และคำถามเรื่องนิติธรรม ถ้าจะตั้งกันแบบนี้ แนะนำให้ตั้ง กระทรวงบุรีรัมย์ ไปเลยดีกว่า ขนาดทะเบียนบ้านนายกฯ ยังอยู่บุรีรัมย์ ก็น่าจะย้ายทำเนียบไปตั้งตรงเขากระโดงให้ชัดเจนไปเลย ไม่ได้ว่าจังหวัดบุรีรัมย์ไม่ดี แต่คนบางคนไม่ควรใช้อำนาจเช่นนี้ เพราะประชาชนไม่สบายใจ ดังนั้นจะยึดมั่นในหลักนิติธรรมว่าไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เช่น กรณีที่ดินเขากระโดง ศาลฎีกาตัดสินแล้วว่าต้องยึดคืน แต่รัฐบาลยังยึกยักไม่ดำเนินการ คดีฮั้วเลือกตั้ง สว. ที่นายกรัฐมนตรี พูดซ้ำว่า "พวกท่านไม่ได้ทำผิด" ซึ่งเป็นการชี้นำและกดดันเจ้าหน้าที่ การโยกย้ายอธิบดี DSI ที่สร้างปัญหาต่อกระบวนการบริหาร ยังกล้าแถลงนโยบายว่าจะยึดหลักนิติธรรม จะยึดประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้งได้อย่างไร

“ส่วนตัวยังเชื่อว่านายอนุทินเป็นคนดี แต่เมื่อเข้าสู่การเมืองกลับไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ฝากเตือนว่า ถ้าท่านยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง สังคมจะชื่นชม แต่ถ้าปล่อยให้คนอื่นครอบงำ ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของพรรคและพวก สังคมจะประณาม และจะกล่าวขานว่านายกรัฐมนตรี ตัวจริงไม่ใช่ อนุทิน แต่เป็น อนุวิน กินรวบประเทศ” นายก่อแก้ว กล่าว

ต่อมานายโสภณ ซารัมย์ รองนายกฯ ชี้แจงว่า วันนี้เป็นวันพระ การจะกล่าวอะไรในสภาฯ ศีลข้อ 4 ตนระวังอยู่แล้ว ท่านจะระวังหรือไม่ก็เป็นเรื่องของท่าน แต่จะขอชี้แจงเพราะตนเสียหายมาก เรื่องผู้นำทางจิตวิญญาณนั้น ตนเองก็เคยเป็นผู้ร่วมขบวนการทางจิตวิญญาณของพรรคท่านมาก่อน จึงรู้ว่าอะไรคืออะไร ย้อนกลับไปเมื่อปี 2554 ตนออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นรัฐบาลในยุคท่าน ถ้าบอกว่าบ้านรัฐมนตรีมีเงินเท่านั้นเท่านี้ กรุณาไปกล่าวโทษ ขออย่ามาพูดพล่อย ๆ เช่นนี้ คนบุรีรัมย์รู้ว่านายโสภณเป็นคนอย่างไร ส่วนเรื่องบุรีรัมย์ท่านก็รู้แก่ใจ จะพูดทำไมเพราะเข้าตัวตนเอง นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นบุตรของนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่ผิด การได้มาเป็นรัฐมนตรีก็มาตามความสามารถคือ เป็น สส.และได้มาเป็นรัฐมนตรี แต่พรรคท่านเอาลูกมาเป็นนายกฯ  ตนเองไม่อยากใช้วาทำกรรมเช่นนี้ แต่เป็นครั้งแรกที่ตนเองต้องใช้

นายโสภณ กล่าวต่อว่า เมื่ออยู่กับท่าน ท่านว่าดี เมื่อพวกตนออกมาเป็นคนชั่วทันที เลิกเถอะ การเมืองแบบนี้ เรื่องบุรีรัมย์ไม่มีเรื่องอะไรเสียหาย ก่อนหน้านี้ผมพูดเรื่องยาเสพติดมีบุรีรัมย์ที่เดียวที่ทำเป็นรูปธรรม ท่านกรุณายกจังหวัดท่านให้เห็นหน่อย ฉะนั้นอย่ามาใช้วาทกรรม ในสภาฯ ที่สร้างสรรค์ สภาฯ ยุคใหม่ คนยุคใหม่จะได้เอาตัวอย่างพวกเรา

“การจะตั้งคนบุรีรัมย์เป็นรัฐบาลหรือเป็นรัฐมนตรีกี่คนไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าจะผิดต้องดูว่าหลังจากที่แถลงนโยบาย เขาทำอะไรผิดค่อยว่า ถ้าพวกผมทำตามคำปรามาสของพวกท่าน พวกผมเป็นผู้ร้ายทันที วันไหนที่ท่านสบประมาทแล้วพรรคภูมิใจไทยหรือคนบุรีรัมย์ไม่ได้ทำแบบที่ท่านว่า พวกผมจะเป็นพระเอกเอง ขอให้สังคมเป็นผู้ตัดสิน”นายโสภณ กล่าว

ขณะที่นายไชยชนก ชี้แจงว่า ตนน้อมรับว่าไม่มีประสบการณ์ แต่ไม่ว่าจะทำหน้าที่ไหน ทำอย่างเต็มกำลังเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ตนก้าวมาในอุตสหากรรมฟุตบอล ตนไม่มีประสบการณ์ แต่เป็นส่วนหนึ่งที่ยกระดับอุตสาหกรรมฟุตบอลให้เป็นอยู่ทุกวันนี้ เมื่อตนก้าวสู่อุตสาหกรรมอีสปอร์ต ตนไม่มีประสบการณ์ แต่พาเด็กไทยไปแชมป์โลก ในเวลา 3 ปี วันที่ตนก้าวสู่วงการการเมือง ตนไม่มีประสบการณ์ แต่เป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยประเทศไทยให้พ้นจากภัยความมั่นคงสำคัญ คือเอาพวกท่านออกจากการบริหารสูงสุดประเทศ

“แม้ผมน้อมรับว่าไม่มีประสบการณ์เป็นฝ่ายบริหาร แต่สัญญาว่าจะทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ และผมยอมรับว่าเริ่มตั้งแต่เข้ามา ยังไม่ได้แถลงนโยบาย มีเรื่องหลายเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกสงสัยในระบบประเพณีปฏิบัติของฝ่ายบริหาร ที่ท่านพูดถึงเรื่องปราบคอลเซ็นเตอร์ อย่างมีความตั้งใจ ผมยังไม่เข้ารับตำแหน่ง มีคนติดต่อหาผม ผ่าน สมาชิกที่รู้จักผม เสนอมอบเงินให้ผมเดือนละ 40 ล้านบาท เพื่อไม่ให้จับเรื่องคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และเว็ปไซต์ ทำให้สงสัยว่าประเพณีปฏิบัติของ รมว.ดีอี ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร แต่ผมปฏิเสธไปแล้ว นอกจากนั้นมีหลายเรื่องที่อยากศึกษา เพราะมีความเอ๊ะ แม้ผมไม่มีประสบการณ์แต่จะทำงานตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญทุกประการภายใน4เดือน” นายไชยชนก ชี้แจง

ทำให้นายก่อแก้ว  อภิปรายต่อว่า เมื่อพูดมาแบบนั้น ขอความกรุณาให้กระชากหน้ากากมาให้สังคมรู้และจับกุมด้วย

ซึ่งนายไชยชนก ชี้แจงว่า  ตนจะพยายาม แต่พูดแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้รับความร่วมมือหรือไม่ แต่จะพยายาม ตนน้อมรับความเห็นที่ระบุว่ารัฐบาลเนทิน ตนไม่แน่ใจเพราะเป็นรัฐบาลน้องใหม่ ต้องเป็นรัฐบาล ทักเซน หรือ ฮุนษิณ หรือไม่