วันที่ 30 ก.ย.2568 เวลา 09.00 น.ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา มีนายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ วันที่สอง

ต่อมาเวลา 09.39 น.นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและรมว.มหาดไทย ลุกขึ้นตอบโต้น.ส.จิราพร สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย  ว่า ความจริงเคยทำงานด้วยกันมา แต่ท่านพยายามที่จะใช้วาทกรรมอีกแล้ว ตนเคยชื่นชมเวลาอภิปรายและชี้แจงในสภาดี เวลาพูดความจริงน่าเชื่อถือมาก แต่เวลาพูดเท็จ มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าขาดความมั่นใจ ท่านเริ่มมาด้วยคำว่าพยายามจะทำให้เห็นว่าตนและผู้นำกัมพูชา น่าจะรู้อะไรกัน เพราะผู้นำกัมพูชาเคยกล่าวไว้ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลใน 3 เดือน จริงๆตนไม่รู้จักผู้นำกัมพูชาส่วนตัวแม้แต่คนเดียวเลย แต่เคยพบสมเด็จฮุนเซน ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ เพราะติดตามน.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯไปเยือนกัมพูชาเมื่อเดินเม.ย.68 เป็นไปองค์ประกอบของคณะรัฐมนตรี ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆที่เป็นส่วนตัว ที่ท่านบอกว่ามีการตกลงอะไรมาก่อนเบื้องหลังหรือไม่

นายอนุทิน กล่าวว่า ขอยืนยันว่าไม่มี เต็มที่ที่มีแค่เพื่อนที่รู้จักกัน ไม่ได้เป็นผู้ที่มีอำนาจอะไรในรัฐบาลแห่งนั้น ไม่มีลุง ไม่มี Uncle มีแต่เพื่อน  และไม่มีการพูดถึงการบริหารราชการแผ่นดิน หรือเสนอแนะอะไรที่เป็นการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว ตนยังรู้สึกตกใจด้วยซ้ำว่าเมื่อตนกลับมาแล้วจากการติดตามน.ส.แพทองธารไปเยือนกัมพูชา แต่เพื่อนๆของตนโทรมาบอกว่ารู้ไหมที่เขาไม่ให้คุณเข้าประชุมด้วยในหลายที่ เพราะเขาแจ้งว่าไม่ไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะเขาจะปลดออกจาก รมว.มหาดไทยอยู่แล้ว นี่คือข้อมูลที่ได้รับทราบมา แต่ตนก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ข้อมูลที่ตนจะเชื่อมากที่สุดคือข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากนายกฯของตนคือน.ส.แพทองธาร แต่ในที่สุดวันหนึ่งตนก็ได้รับการแจ้งวันที่ 17 ม.ย.ได้รับการแจ้งอย่างเป็นทางการว่าพรรคเพื่อไทยต้องการกระทรวงมหาดไทยคืน และขอให้ตนไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตนก็เรียนไปว่าถ้าแบบนี้ ก็เปรียบเสมือนเป็นข้อเสนอที่ต้องการให้ตนปฏิเสธพูดตรงๆว่าให้ออกรัฐบาลดีกว่า

แต่ก็ดีท่านก็มีมารยาทมากว่าอยากให้อยู่แต่ไม่ให้อยู่มหาดไทยไปอยู่สาธารณสุข ตนก็ถามว่าทำไมต้องให้ไปอยู่สาธารณสุขทำอะไรผิด หรือตนว่าเป็นรัฐมนตรีคนเดียวของนายกฯที่ยืนอยู่เคียงข้างนายกฯ ในทุกๆขณะ ไม่ว่าจะเป็นวันดีหรือวันร้ายของท่าน ปกป้อง ให้ข้อเท็จจริง เมื่อนายกฯถูกกล่าวหา นายกฯก็ทราบดี แต่ท่านบอกว่า ใกล้เลือกตั้งแล้วพรรคเพื่อไทยต้องได้มหาดไทย ตนก็บอกว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้เชื่อว่าการได้กำกับมหาดไทยไปแล้วท่านจะชนะเลือกตั้ง สมัยคุณพ่อตนเคยเป็นรมว.มหาดไทย เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เป็นตั้ง 2 ปีกว่าตอนเลือกตั้งก็แพ้ พรรคเพื่อไทยราบคาบเมื่อปี 54 ทำไมถึงคิดเช่นนี้ แต่ไม่มีคำตอบ คำตอบก็คือก็จะเอามหาดไทยคืน แต่ตนเชื่อว่าท่านนายกฯแพทองธาร ท่านไม่ได้พูดจากความต้องการในใจการของท่านเอง ต้องมีคนบอกให้ท่านพูด เพราะในที่สุดเลขาธิการนายกฯของท่านก็มายืนยันไพ่ใบสุดท้าย ตนหวังว่าคนที่พูดคำว่าน่าจะจำได้  ไพ่ใบสุดท้าย คุณไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข

ทำให้น.ส.จิราพร ลุกขึ้นประท้วงนายกฯ ท่านกำลังเล่าซีนดราม่าระหว่างท่านกับคนที่ไม่อยู่ในรัฐสภาแห่งนี้ และไม่มีโอกกาสชี้แจง แต่นายอนุทิน พยายามพูดแทรกว่า ไม่ได้เล่าเรื่องดราม่า แต่ผมเล่าความจริง ท่านไม่ได้อยู่ตรงนั้นท่านไม่รู้เรื่อง แต่ตนอยู่ในช่วงเวลานั้น เอามายืนยันตรงนี้เลยก็ได้ จะมาบอกดราม่าได้อย่างไร ท่านไม่ได้เกี่ยวและไม่มีส่วนร่วมตรงนั้นเลย

ทำให้นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ประท้วงน.ส.จิราพรว่า ท่านนายกฯกำลังตอบข้อซักถามที่ท่านเป็นคนถาม และนายกฯกำลังอธิบายความว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ตอนท่านพูดน.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจ และตนก็พยายามอดทนไม่ลุกขึ้นประท้วง กำลังอธิบายความตามที่ท่านถามขอให้อดทนฟังสักนิดได้หรือไม่

จากนั้นนายอนุทิน กล่าวว่า สุดท้ายก็ได้รับการยืนยันอีกครั้งหนึ่งจากเลขาธิการนายกฯมาจากตนที่กระทรวงมหาดไทยว่าไพ่ใบสุดท้ายก็เป็นเช่นนี้ วันนั้นก็ฝากไปเรียนนายกฯว่าพรรคภูมิใจไทยขอถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล หลังจากนั้นก็เหมาะเจาะมีกับคลิปเสียง Uncle ออกมาพอดี ยิ่งทำให้การตัดสินใจถอนตัวของพรรคภูมิใจไทย ก็ยิ่งทำให้เกิดความมั่นใจว่าถึงเวลาต้องถอนตัว ไม่ใช่ถอนตัวเขาเชิญออกจากกระทรวงมหาดไทย แต่ว่าเมื่อมีเรื่องคลิปเสียงแล้ว เป็นเรื่องของบ้านเมือง เป็นสิ่งพรรคภูมิใจไทยเห็นว่ามีความเสียหาย รัฐบาลขาดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ควรบังเกิดขึ้นในฐานะที่เป็นรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ นั่นคือเหตุผลที่เราถอนตัว ไม่มีเหตุผลอื่น เมื่อถอนตัวแล้วไม่มีเหตุการณ์พิสดาร

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า เมื่อถอนตัวออกมาก็มารายงานตัวกับนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน ในฐานะที่จะมาเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน ขอมาทำหน้าที่ฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาชน ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย เมื่อถึงจุดนึงก็คุยกันเห็นว่ารัฐบาลน่าจะไม่ไหว พี่น้องประชาชนขาดความเชื่อมั่น เกียรติภูมิ อธิปไตยของประเทศได้รับความเสียหาย ดีที่สุดพยายามให้ท่านยุบสภาดีกว่าด้วยวิธีใดๆก็ตาม ซึ่งปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นานก็มีการร้องศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งนายกฯถูกศาลสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อนายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่มีคนยุบสภา จึงพูดคุยกับพรรคประชาชนว่าทำอย่างไรจะยุบสภาฯขึ้น พรรคประชาชนก็ไม่มีแคนดิเดตนายก เราก็พยายามหาวิธีคืนอำนาจให้ประชาชนให้มากที่สุด จึงเป็นที่มาก็ MOA ขึ้น

ซึ่งก็ไม่ได้พิสดารอะไร และไม่ได้ไปแอบเซ็นในห้องผู้นำฝ่ายค้าน และไม่ได้ลงนามด้วยกันเอามาวาง ท่านลงนามไว้แล้วถ้าเป็นไปตามนี้พรรคภูมิใจรับได้ก็มาเซ็น พรรคภูมิใจไทยเห็นแล้วว่าเงื่อนไข MOA จะทำให้เรามีทางออกแล้วประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ ต้องยอมรับเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ต้องยุบสภา 4 เดือนไม่ใช่ 3 เดือนท่านต้องอ่านให้ชัด ๆหน่อย พรรคประชาชนเป็นฝ่ายค้าน พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ทำให้เกิดเสียงข้างมาก และแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ MOA คือทำระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้ผูกพันรัฐบาล

แต่พรรคภูมิใจไทยเมื่อเป็นแกนนำรัฐบาลจะรักษาสัญญา หลังวันที่ 1 ต.ค.68 ไม่เกิน 31 ม.ค.69 จะยุบสภา และในวันที่ 14-15 ต.ค.พรรคภูมิใจไทยจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ตรง MOA ตรงไหน พรรคภูมิใจไทยได้สส.เพิ่มไหม ในการที่จะไปดึง ไปดูดส.ส จากพรรคพวกท่านเข้ามาไม่มีเลย มีแต่พรรคภูมิใจไทยถูกดูดจากพรรคพวกท่าน ก็เห็นกันอยู่ โชคดีเขากลับตัวทันไม่ไปดีกว่า และท่านก็บอกว่าตอนนี้มีส.สเพิ่มขึ้น ถูกต้องเพิ่มขึ้นเมื่อวานนี้ จากการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีมากขึ้นมาจากการเลือกตั้งไม่ใช่ไปดูดใครมา มาจากสิ่งที่พี่น้องประชาชนได้เห็นว่าพรรคภูมิทำที่ถูกต้องโดนใจพี่น้องประชาชน ให้เกียรติพี่น้องประชาชน

นายกฯ กล่าวอีกว่า MOA จะมาบังคับรัฐบาลในเรื่องการบริหารของรัฐบาลไม่ได้ แต่ MOA กำหนดให้รัฐบาลดำเนินการหลักๆคือเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยุบสภาฯ เป็นเรื่องหลักใน MOA ซึ่งผูกพันระหว่างพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ตนมาเป็นนายกฯ อำนาจยุบสภาไม่ได้อยู่ที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคกล้าธรรม อำนาจยุบสภาอยู่ที่นายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพราะเป็นข้อตกลงที่เปิดเผย ประชาชนรับรู้รับทราบกันหมด ดังนั้นท่านต้องอ่าน MOA ให้เข้าใจว่าจริงๆไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังไม่มีวิจิตรพิสดารอะไร รัฐบาลนี้ถูกจัดตั้งมาตามระบอบประชาธิปไตย ตนได้รับความสนับสนุนจากสส.313 ในการเลือกนายกฯเมื่อวันที่ 5 ก.ย.ไม่ใช่สิ่งแปลก และไม่เคยกระทำกันมาก่อน

นายอนุทิน กล่าวว่า ที่ท่านอภิปรายมาบอกว่าให้คำมั่นสัญญาได้ไหมว่าตนจะให้สัญญาได้ไหมจะไม่ใช้อำนาจหน้าที่ กดดัน สั่งการ ชี้แนะให้ข้าราชการประจำเปลี่ยนแนวทางทำเรื่องที่เป็นประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเขากระโดงเรื่อง เรื่องฮั้วสว.เรื่องอยู่ที่กกต.ถ้ามีปัญหาการได้มาซึ่งสว. กกต.เป็นผู้ดำเนินการ มีแต่รัฐบาลท่านพยายามสั่ง DSI ดำเนินการ และไปติดที่ข้อกฎหมาย สุดท้ายคนดำเนินการก็คือกกต. ไม่ว่าท่านจะพยายามส่งผู้แทนไปใน DSI แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามข้อกฎหมาย เรื่องเขากระโดงก็เช่นเดียวกันข้าราชการกระทรวงมหาดไทยก็ออกมาแถลงชี้แจงแล้ว ซึ่งรมว.มหาดไทย และรมช.มหาดไทยสมัยนั้นใจร้อนเอง เข้าไปวันแรกวันที่ 2 ส.ค.จะยึดที่ดิน

“ทำงานแบบน.ส.จิราพร อ่านอะไรไม่ได้ศัพท์ อ่านเร็วๆ นึกว่าตัวเองเก๋าแล้วไปสรุปทุกเรื่อง หัวเรื่องหนังสือข้าราชการต้องอ่านทุกถ้อยคำ และต้องตีความด้วย สุดท้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทยปลัดกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมที่ดินที่ท่านตั้งเองนะ ท่านย้ายอธิบดีกรมที่ดินคนเก่าออกไปหาว่าเอื้อประโยชน์เขากระโดง ก็ตั้งคนใหม่เข้ามา ทุกคนก็มาแถลง คณะกรรมการที่ท่านตั้งก็มาแถลงว่า รัฐมนตรีทั้งสองท่าน ที่ท่านตั้งพูดเร็วเกินไปไม่ตรงกับมติของคณะกรรมการ แล้วจะมาโทษอะไรผม คนที่ใช้อำนาจหน้าที่ไปกดดันคือรัฐมนตรีมหาดไทย 2 ท่านต่างหาก

ผมรับตำแหน่งนายกฯมาเกือบเดือน เพิ่งเข้าเฝ้า วันนี้แถลงนโยบาย ผมพึ่งเข้าไปกระทรวงมหาดไทย ยังไม่ได้สั่งการอะไรเลย และไม่มีความกังวลจะไปสั่งการ เพราะผมรู้เรื่องดี อยู่มา 2 ปีทุกอย่างต้องทำตามกฎหมาย ผมมีหนังสือสั่งให้รัฐมนตรีมหาดไทย ทำตามกฎหมายทุกอย่าง ทำตามระเบียบทุกอย่าง ไม่ต้องละเว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม หนังสืออันนั้นไม่เอามาอ่าน เอาเอกสารอะไรมาอ่าน ตอนนั้นตนไม่ได้กำกับกระทรวงคมนาคม

วันนี้ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย จะฟ้องเป็นรายแปลงเป็นสิ่งที่ผมต้องการแปลงไหนผิดก็ยึดไปทันที ถูกก็ต้องคืนความเป็นธรรมตรงนี้ชัดเจน ผมจะไม่มีวันใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งรมว.มหาดไทย และตำแหน่งนายก ที่กำกับดูแลทุกกระทรวงในรัฐบาลนี้ ไปให้พวกเขาช่วยเหลือ ใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมาย อย่าว่าแต่พวกผมเลย พวกท่านก็ช่วยไม่ได้ ขอให้ความมั่นใจว่าจะไม่ดำเนินการเรื่องนี้เป็นอันขาด" นายกฯ กล่าว 

นายอนุทิน กล่าวว่า ขอให้ท่านถอนคำพูดว่าตนยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหา และยังไม่เป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วย ท่านชอบใช้วาทะกรรม ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด นายกฯเป็นผู้ต้องหาของ DSI  ท่านเรียกอธิบดี DSI พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ว่าตรงนี้เลย และถามว่าตนเป็นผู้ต้องหาหรือเปล่า ท่านกล้าไหม ตนเป็นเพียงผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา และตนให้ความร่วมมือตามกฎหมายทุกอย่าง และส่งจดหมายไปชี้แจงข้อดังกล่าว ตั้งทนายต่อสู้คดีไป ถ้าตนผิดมีกระบวนการที่จะลงโทษผมอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ถูกแจ้งกล่าวหาโดยใครก็แล้วแต่ ท่านฉะนั้นขอถอนคำพูดคำนี้ ตนไม่ใช่ผู้ต้องหาการมาพูดในสภาแห่งนี้ ตนและสว.เป็นผู้ต้องหา เป็นคำพูดที่ผิด ตอนนี้ สว. ท่าที่ติดตามมาข่าวสารมายังไม่มีใครเป็นผู้ต้องหา แม้แต่คนเดียวสถานะเดียวกันคือผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา และดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมาย

“กราบเรียนน.ส.จิราพรด้วยความเคารพ รักกัน เวลาพูดความจริงผมก็ไม่ต้องพูด แต่ถ้าพูดคำเท็จผมต้องลุกขึ้นมาพูด และท่านจะไปบอกว่าสว.มาแก้รัฐธรรมนูญนะ ต้องรับนะ ไม่รู้ว่าวางยาผมหรือเปล่า ท่านกำลังชี้ทางไปนรกให้ผมเลย เขาห้ามชี้นำ ห้ามที่จะไปโน้มน้าว สมาชิกรัฐสภา ทั้งสส. และสว.มันผิดรัฐธรรมนูญท่านประสงค์ร้ายอีกแล้ว ให้ผมทำผิดแล้วรัฐธรรมนูญแล้วก็มาอภิปรายผมอีก

เรื่องนี้เป็นเรื่องของประชาธิปไตย ใครเห็นด้วยก็แก้ ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้อง ส่งขึ้นไปตามกระบวนการ สว.ก็มีกระบวนของเขา และสุดท้ายท่านบอกว่าอีก 4 เดือนจะชี้ชะตา รับรอง 31 ม.ค.69 ช้าสุดยุบสภาฯแน่ มีแต่เร็วกว่า 31 ม.ค.ถ้าจำเป็นต้องยุบ ไม่ต้องกังวล และท่านบอกว่า 4 เดือนคอยดูนะ คนจะมาชี้ชะตา พรรคภูมิใจไทย ไม่ต้องรอ 4 เดือน วานซืนก็เขาชี้ชะตาว่าพรรคภูมิใจไทยและพรรคท่านด้วย ” นายอนุทิน กล่าว