“จิราพร” ซัดรัฐบาล “อนุทิน” เกิดจาก MOA พิสดาร ไม่เคารพข้อตกลง ละเลยแก้ รธน. มีคดีค้างคาอย่างเขากระโดง-ฮั้ว สว. เรียก “ผู้ต้องหา กลางสภา หวั่นลากยาวอำนาจเบ็ดเสร็จ 4 ปี


วันที่ 30 ก.ย.68 เวลา 09.00 น.ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา มีนายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ วันที่สอง น.ส.จิราพร สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายดุเดือดต่อคำแถลงนโยบายของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยระบุว่า รัฐบาลนี้ถือเป็น “รัฐบาลพิเศษ” ที่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติ หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกฯ พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่าการที่ได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น รู้เห็นกับสมเด็จฮุนเซน อดีตผู้นำกัมพูชา ที่ออกมาระบุว่าไทยกำลังจะเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีภายใน 3 เดือนหรือไม่ และยังตั้งคำถามว่า MOA ที่ใช้จัดตั้งรัฐบาลอาจเป็นเพียง “ฉากหน้า” ไม่ได้ยึดถือปฏิบัติจริง พร้อมยกตัวอย่างว่า เพียงวันโหวตเลือกนายกฯ ก็มี สส. หลายกลุ่มย้ายเข้าภูมิใจไทยอย่างเปิดเผย เท่ากับฉีกข้อตกลงไม่ให้กลายเป็นเสียงข้างมาก ขณะที่คำแถลงนโยบายรัฐบาลยาวถึง 7 หน้า แต่กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียง 3 บรรทัด ทั้งที่เป็นหัวใจสำคัญใน MOA สะท้อนว่ารัฐบาลอาจไม่ตั้งใจแก้รัฐธรรมนูญตั้งแต่แรก ในส่วนคดีความ เช่น ที่ดินเขากระโดง และคดีฮั้ว สว.  ซึ่งเกี่ยวพันกับตัวผู้นำรัฐบาล กลับไม่มีคำตอบชัดเจน นอกจากอ้างว่าถูกกลั่นแกล้ง อันเป็นการส่งสัญญาณกดดันเจ้าหน้าที่ ขัดกับหลักนิติธรรมที่นายกฯ ประกาศไว้ ทั้งนี้ ยังมีการเรียกนายกฯ และ สว. ที่เกี่ยวข้องคดีฮั้ว สว. ว่า “ผู้ต้องหา” 


น.ส. จิราพร ยังเตือนว่ารัฐบาลนี้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ต่างจากรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร เพียงแต่ขาดมาตรา 44 เท่านั้น พร้อมท้าทายนายอนุทิน หากจริงใจที่จะแก้รัฐธรรมนูญจริง ต้องเชิญชวนสมาชิกวุฒิสภามาสัญญาต่อหน้าสภาสรุปว่า MOA ไม่ได้พาประเทศเข้าสู่การฟื้นฟูประชาธิปไตย แต่เป็นการ “ต่ออายุฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ให้กลับมามีอำนาจครบมือ และยืนยันบทบาทฝ่ายค้านว่า “4 เดือนต่อจากนี้ พรรคเพื่อไทยจะทำให้เป็น 4 เดือนแห่งการตรวจสอบเข้มข้นที่สุด ใช้ทุกกลไกรัฐสภา เพื่อให้ประชาชนตัดสินว่ารัฐบาลนี้สมควรเดินหน้าต่ออีก 4 ปีหรือไม่”