“ศรีญาดา” สส.เพื่อไทย อัดนโยบายความมั่นคงและการต่างประเทศของรัฐบาล "อนุทิน" ขาดวิสัยทัศน์ผู้นำในเวทีโลก ชี้เป็นแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หวั่นท่าทีกลับไป-กลับมา เสียเปรียบกัมพูชาที่เดินเกมรุก เรียกร้องนายกฯ ต้องมี "ยุทธศาสตร์การทูตเชิงรุก" ชัดเจน ห้ามใช้อคติการเมืองเป็นธงนำประชามติยกเลิก MOU 43 เตือนการยกเลิกฝ่ายเดียวอาจเข้าทางกัมพูชา และตั้งคำถามแรง “นโยบายต่างประเทศถูกกำหนดที่บุรีรัมย์ หรือพนมเปญ


วันที่ 29 ก.ย. 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาวาระเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ ต่อมาทพ.หญิงศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นโยบายความมั่นคงและการต่างประเทศของ รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและรมว.มหาดไทยว่า เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ขาดวิสัยทัศน์ และจุดยืนของผู้นำประเทศในเวทีโลก ซึ่งแม้ไทยมีความจำเป็นต้องโต้ตอบกัมพูชาในเวที UN แต่การทะเลาะกันต่อหน้าชาวโลก จะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยขาดความน่าเชื่อถือในสายตานานาประเทศ ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เคยกล่าวไว้ว่า “สันติภาพ คือทุนที่สำคัญ” และความขัดแย้งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศและภูมิภาคอาเซียน ทำให้กระทบต่อการค้า การลงทุนและคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน รัฐบาลมีนโยบายจะเร่งแก้ปัญหากรณีพิพาทไทย–กัมพูชาด้วยแนวทางสันติภาพผ่านกลไกการเจรจาทางการทูต ควบคู่กับการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง แต่จุดยืนของนายกรัฐมนตรี ยังไม่ชัดเจนกลับไป-กลับมา ยังไม่เห็นยุทธศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศภาพรวม ซึ่งต้องนำเอาปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ภูมิรัฐศาสตร์ และความเป็นครอบครัวอาเซียนมาพิจารณาร่วมด้วย ขณะที่ กัมพูชาเดินเกมรุก สร้างสถานการณ์ เพื่อยกระดับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาไปสู่เวทีนานาชาติ กล่าวหาไทยละเมิดข้อตกลงหยุดยิง หรือสร้างภาพว่าไทยเป็นฝ่ายโจมตีก่อน แต่ในข้อเท็จจริงนั้น กัมพูชา ทั้งรุกล้ำพื้นที่อ้างสิทธิ และทหารกัมพูชาล่าสุดจัดตั้งม็อบใช้ประชาชน ผู้หญิง และเด็ก เป็นโล่มนุษย์ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เน้นจุดยืนของประเทศไทย รักษาสันติภาพ เคารพและปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ ตามหลักมนุษยธรรม และข้อตกลงหยุดยิงในประชาคมโลกมาโดยตลอด และการเป็นประเทศใหญ่ ที่ไม่เคยรังแกประเทศเล็ก แต่ตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง 


ทพ.หญิงศรีญาดา กล่าวว่า รัฐบาลนายอนุทิน จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศเชิงรุกที่ชัดเจน และกดเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องระหว่าง 2 ประเทศ ต้องสื่อสารข้อเท็จจริงที่ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำ ละเมิดทั้ง MOU 43 และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่องและจริงจัง และในการเจรจาไปสู่สันติภาพนั้น รัฐบาลไทยยิ่งต้องทำให้กัมพูชาจำนนต่อหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการเจรจา เพราะสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อพี่น้องทหาร ประชาชนพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ต้องได้รับความยุติธรรมจากการกระทำ ที่ไร้มนุษยธรรมก่อน แต่ทั้งหมดนี้ ตั้งแต่นายอนุทินเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตนยังไม่เคยได้ยินนายอนุทิน ประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมของกัมพูชาแม้แต่ครั้งเดียว หรือกระทั่งวันนี้ที่แถลงนโยบาย ก็ไม่มีการเดินหน้าเรียกร้องให้กัมพูชามาร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิด ดังนั้นนายกฯจะต้องฟังข้อแนะนำของกระทรวงการต่างประเทศให้มาก โดยเฉพาะท่าทีของผู้นำรัฐบาล ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ตอบโต้กัมพูชาในเวที UN ได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที แต่น้ำหนักของรมว.การต่างประเทศเพียงคนเดียว อาจจะไม่เพียงพอสำหรับเรื่องนี้ เพราะท่าทีและแนวนโยบายของผู้นำ คือ ทิศทางของประเทศ 


ทพ.หญิงศรีญาดา กล่าวต่อว่า แนวนโยบายกระทรวงมหาดไทย ในการผลักดันผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา ที่มาอาศัยอยู่ในพื้นที่อพยพในเขตแดนของไทย บริเวณบ้านหนองจาน หนองหญ้าแก้ว ที่จะเกิดขึ้นภายในวันที่ 10 ต.ค.นี้ ยังจะส่งผลกระทบต่อการต่างประเทศด้วย ดังนั้น ตนจึงต้องการขอความชัดเจนจากนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะมีนโยบายที่ชัดเจนกว่านี้อย่างไร และเรียกร้องให้เดินหน้า นโยบายป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และภัยไซเบอร์ด้วย เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลน.ส.แพทองธาร ได้ใช้มาตรการเชิงรุก ตัดไฟ–ตัดเน็ต เพื่อสกัดสแกมเมอร์ พร้อมร่วมมือกับนานาประเทศในการปราบปรามให้เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์หลักในการกดดันกัมพูชา แต่รัฐบาลนี้กลับเขียนระบุเพียงสั้น ๆ โดยไม่มีมิติความร่วมมือระหว่างประเทศ ทำให้ประชาชนไม่มั่นใจว่า นายกรัฐมนตรี จะเดินหน้าแสวงหาความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามเรื่องนี้อย่างจริงจังอย่างไร ซึ่งตนก็ห่วงภาพลักษณ์ประเทศ และเกรงว่า ประชาคมโลกอาจจะตั้งคำถามถึงรัฐบาลไทยว่า ไม่กล้าปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ สแกมเมอร์ ภัยไซเบอร์ เพราะเหตุอันใด เพราะการไม่การแสดงออกถึงท่าทีต่อปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมของผู้นำ อาจสะท้อนถึงความไม่จริงจังและจริงใจของผู้นำประเทศในการจัดการปัญหาเรื้อรังเหล่านี้ในสายตาของนานาประเทศและประเทศคู่ขัดแย้ง


ทพ.หญิงศรีญาดา ยังกล่าวถึงคำแถลงนโยบายของรัฐบาลนายอนุทิน ที่ระบุจะมีการ “ทำประชามติ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจ ให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทยกัมพูชา” โดยไม่มีการระบุถึงแนวทางในการประชาสัมพันธ์ข้อเท็จจริง ถึงข้อดี ข้อเสียของ MOU เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาล จงใจ หรือ “ทำไม่เป็น” กันแน่ หรือเพราะอคติทางการเมือง และความเชื่อที่ ไม่มีมูลความจริง ดังนั้น จึงขออย่าให้มาเป็น “ธง” ในการยกเลิก MOU เพราะจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศในระยะยาวอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมา ข้าราชการของกระทรวงการต่างประเทศ กองทัพโดยเจ้ากรมแผนที่ทหาร กระทรวงมหาดไทย ได้พยายามพูดถึงข้อดี และความจำเป็นของการมีอยู่ของ MOU มาโดยตลอด และ MOU ไม่ได้ทำให้ไทยเสียดินแดน แต่การยกเลิก MOU จะยกเลิกฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องกระทำทั้ง 2 ฝ่าย จึงจะมีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ และจุดประสงค์ของ MOU43 คือต้องการทำแผนที่ใหม่ร่วมกัน หรือเพื่อเพื่อ “ฆ่าแผนที่ 1:200,000” ที่ไทยไม่ยอมรับ ดังนั้น การยกเลิก MOU ในตอนนี้ จะทำให้ไทยเสียเปรียบ และเข้าทางกัมพูชาที่เลี่ยงโต๊ะเจรจาทวิภาคี จึงขอให้นายกรัฐมนตรี เดินหน้าเรื่องประชามตินี้อย่างโปร่งใส ที่ไม่ใช่เป็นการเอาอคติ มานำสติ และควรใช้ข้อเท็จจริง มาประชาสัมพันธ์ เพื่อแยกแยะให้สังคมเห็นระหว่างข้อเท็จจริง กับการชี้นำ หรือชักจูงโดยใคร ก็มีการเสนอญัตติด่วนในสภาให้ยกเลิกข้อตกลง MOU ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งสอดคล้องกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย จนตนเองก็ไม่แน่ใจว่า นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลท่านนั้นถูกกำหนดที่บุรีรัมย์ หรือที่พนมเปญ


“รัฐบาล จะมีนโยบายความมั่นคง และการต่างประเทศที่มีวิสัยทัศน์ และท่าทีผู้นำรัฐบาลต้องชัด เพื่อให้จุดยืนประเทศ มียุทธศาสตร์เชิงรุกและมั่นคง ไม่นำการเมืองภายในประเทศมาบั่นทอนภาพลักษณ์ของไทยในสายตาชาวโลก อย่าเอาวาทกรรมทางการเมือง มาสร้างกระแสชาตินิยม จนเป็นกลายกระแสคลั่งชาติ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง เสมือนที่เพื่อนบ้านใช้อยู่ และนโยบายความมั่นคงและการต่างประเทศ ต้องใช้การทูต นำการทหาร แต่ต้องเข้มแข็งในจุดยืน ทุกก้าวย่างที่เดิน ต้องเดินอย่างมียุทธศาสตร์ในการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อความสงบ สันติ การกินดีอยู่ดี และคืนบทบาทการนำของไทยในเวทีโลกอีกครั้ง”ทพ.หญิงศรีญาดา กล่าว