“บวรศักดิ์” ยัน รัฐบาลสนับสนุนการจัดทำรธน. แต่ไม่ใช่ทั้งฉบับ โยน รายละเอียดการแก้ไขให้ “ส.ส.ร.” เผย วันเลือกตั้งสส. ปชช.ได้บัตร 4 ใบ เลือก “สส.-สว.-ประชามติแก้รธน.-ยกเลิก mou ไทย – กัมพูชาหรือไม่” เผย “นายกฯ” กำชับไม่ดึงกลับคนได้แต่งตั้งในรัฐบาลชุดที่แล้ว ขอให้อุ่นใจไร้เล่นพรรคเล่นพวก พร้อมระบุไม่ต้องห่วง “ฮั้วสว.-เขากระโดง” เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ชี้ เล็งชงตั้งหน่วยงานกำกับการใช้ดุลยพินิจเป็นคุณหรือโทษทางการเมือง


วันที่ 29 ก.ย.2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาวาระเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ ต่อมาเวลา 11.57 น. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีสมาชิกรัฐสภาถามว่าหากมีการแก้หมวด 1 หมวด 2 จะทำอย่างไร ว่าในนโยบายรัฐบาลเขียนไว้ชัดว่า รัฐบาลนี้จะสนับสนุนการจัดทำประชามติ และการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยรับฟังเสียงประชาชนสร้างการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วนให้สอดคล้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และเพื่อธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งการจัดทำรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ได้ใช้คำว่าจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ รัฐบาลไม่ต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แต่สนับสนุนให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ 


นายบวรศักดิ์ กล่าวอีกว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น เป็นขั้นตอนแรก ส่วนขั้นตอนที่สอง เมื่อประชาชนลงประชามติเห็นชอบกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเมื่อประชาชนเห็นชอบกับหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งรัฐสภาจัดทำเสร็จ เป็นร่างรัฐธรรมนูญประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่เพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในขั้นที่หนึ่งที่รัฐสภาแห่งนี้ต้องพิจารณา จึงเป็นเรื่องวิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าจะให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างไร โดยไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่บอกให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมาโดยตรงจากประชาชนไม่ได้ และถ้าผ่านแล้วจึงจะทำขั้นตอนที่สองคือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) หรือใครก็ตามที่เป็นคนเขียน ตรงนั้นจึงจะดูว่าแตะหมวด 1 หมวด 2 หรือไม่ แต่เชื่อว่าสองพรรคใหญ่จะไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 เพราะหากแตะจะมีปัญหาทันทีว่าจะขัดรัฐธรรมนูญปัจจุบันหรือไม่ เพราะมาตรา 255 ระบุว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ จะกระทำมิได้ 


นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า เพราะฉะนั้น จึงชัดเจนในตัวว่าประชามติที่รัฐบาลนี้จะทำในวันเดียวกับวันเลือกตั้งสส. จะเป็นการลงประชามติสองเรื่องเท่านั้น คือ 1.ประชาจะเห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และ 2.ประชาชนจะเห็นชอบกับวิธีการเนื้อหาสาระที่รัฐสภาทำร่างรัฐธรรมนูญมาแล้ว ตามตรา 256 อนุมาตรา 1 – 6 หรือไม่ แต่จะไม่มีการลงไปถึงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้น เนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทุกท่านคงต้องรอว่า ส.ส.ร.ที่มาจาก หมวด 15/1 จะเขียนอะไร แต่ที่แน่ๆ พรรคภูมิใจไทย และพรรคใหญ่อีกพรรค จะไม่แตะ หมวด 1 หมวด 2 ส่วนเรื่องคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้าม รัฐธรรมนูญมาตรา 256 ระบุชัดว่า การจะแก้ลักษณะต้องห้ามต้องไปทำประชามติก่อน ดังนั้น เรื่องนี้รัฐบาลจะไม่แตะ ส่วนรัฐธรรมนูญใหม่ที่ทำโดยส.ส.ร. จะแตะหรือไม่แตะต้องไปดูในขั้นตอนที่สอง


นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนประชามติว่าจะยกเลิก MOU ไทย – กัมพูชา หรือไม่นั้น การทำประชามติแต่ละครั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บอกต้องใช้เงิน 6,000 ล้านบาท รัฐบาลจึงจะจัดทำประชามมติพร้อมกับการเลือกตั้งสส.หลังการยุบสภา ดังนั้น ในการเลือกตั้งสส.ที่จะเกิดขึ้นหลังจากยุบสภา ประชาชนจะได้บัตร 4 ใบ คือ 1.บัตรเลือกสส.เขต 2.บัตรเลือกสส.บัญชีรายชื่อ 3.บัตรการลงประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ และ4.บัตรที่จะสอบถามประชาชนว่าจะให้ยกเลิก MOU ไทย - กัมพูชาหรือไม่ ทั้งนี้การที่รัฐบาลต้องถามความเห็นประชาชนก่อนในเรื่องของการยกเลิก MOU เพราะเห็นว่า เรื่องสำคัญแบบนี้กับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลเฉพาะกิจไม่ควรตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ควรขอฉันทานุมัติจากประชาชน ถ้าประชาชนบอกเลิกก็ต้องเลิก แต่หากให้เก็บไว้รัฐบาลนี้ก็ต้องเก็บไว้ เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย 


นายบวรศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่สมาชิกบางท่านพูดถึงการอย่าเล่นพรรคเล่นพวกโดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้ง ความจริงรัฐบาลรักษาการที่แล้วลงมติตั้งอธิบดีหลายกรม ลงมติตั้งตำแหน่งบริหารหลายตำแหน่ง เมื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องนำความกราบบังคมทูลโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ก็ส่งเรื่องคืนมา อย่างไรก็ตาม วันนี้พอแถลงนโยบายเสร็จ นายกฯกำชับให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ยืนยันเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหาร ที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลรักษาการที่แล้วไปทุกตำแหน่งเกือบ 10 ตำแหน่ง จึงยืนยันได้ว่า การเริ่มต้นรัฐบาลนี้ หากเรื่องไหนผ่านเป็นมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว รัฐบาลจะเดินต่อไม่มีเจตนาดึงกลับมา แล้วเอาพรรคพวกตัวเองเสียบไปใหม่ หรือยกเลิกมติครม.เดิม 


นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลแถลงชัดว่าจะไม่ใช้กฎหมาย และหน่วยงานของรัฐ ไปเป็นประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งเรื่องนี้สำคัญ เพราะในอดีตเคยมีการเอาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ไปตรวสอบคนที่ดูเหมือนจะอยู่ฝ่ายที่ไม่เอื้อรัฐ และเมื่อตนเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตนก็แก้ไขแล้ววางกลไกตรวจสอบการใช้อำนาจ ไม่ให้ปปง.ดึงคนทีจะหวังก้าวหน้าในตำแหน่งราชการอื่น ปรากฎว่าภายหลังเขาแก้กลับไปหมด ดังนั้น อาจต้องทบทวนว่าการใช้ดุลยพินิจ ในทางเป็นคุณหรือโทษทางการเมือง อาจต้องมีหน่วยงานมากำกับการใช้ดุลยพินิจ หรืออาจต้องแก้กฎมาย ซึ่งต้องขอความร่วมมือจาก สส. สว. ซึ่งไม่ใช่เพื่อการแทรกแซง แต่เพื่อป้องกันไม่ให้หน่วยงานนั้นๆตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองต่อไป 


  “คงทำให้ท่านอุ่นใจได้ระดับหนึ่ง ในเรื่องที่ท่านฝากว่าอย่าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เมื่อนายกฯมาชวนผมให้เข้าร่วมครม. ผมก็เรียนว่าเรื่องไหนที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เช่น เรื่องสว. เรื่องเขากระโดง และเรื่องขององค์อิสระและกระบวนการยุติธรรม ขอให้ปล่อยไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ควรจะเป็น ซึ่งท่านนายกฯก็รับปาก” นายบวรศักดิ์ กล่าว 

#บวรศักดิ์อุวรรณโณ #รัฐธรรมนูญใหม่ #เลือกตั้ง #สภาร่างรัฐธรรมนูญ #ไทยกัมพูชา #การเมืองไท