28 ก.ย.68 พาไปดูการวิธีการเลี้ยงจระเข้ ที่ฟาร์มแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในตำบลน้ำพุ อ.เมือง จ.ราชบุรี ของนายสัตวแพทย์สรรเสริญ สุขพอดี อายุ 72 ปี ที่ยึดอาชีพเลี้ยงมาจระเข้มากว่า 20 ปี เริ่มจากพ่อแม่พันธุ์ประมาณ 16 ตัว เพาะขยายพันธุ์จนถึงปัจจุบันได้มากถึง 3,000 ตัว แบ่งการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์หลายขนาด ทั้งกลางแจ้งและใต้ร่มไม้ใหญ่ จระเข้จะออกไข่และฟักไข่ปีละ 1 ครั้ง ได้ลูกแล้วจึงนำมาแยกบ่อเลี้ยงดูแลให้อาหารเป็นซากหมูตาย รกหมูที่ออกลูกใหม่ โดยไปหาซื้อจากฟาร์มที่มีการเลี้ยงสุกร เวลากลางวันจระเข้จะชอบขึ้นมานอนอ้าปากผึ่งแดด วันไหนอากาศร้อนจะเปิดปริงเกอร์น้ำเพื่อลดอุณหภูมิ ช่วยคลายร้อนได้ และเมื่อจะให้อาหารก็จะใช้ปากเรียก ด้วยการดูดลมเข้าปากเข้าให้เกิดเสียงจี๋ด ๆ จระเข้ก็จะคลานขึ้นมาจากน้ำ ด้วยความที่เคยชินกับการเรียกเมื่อจะได้กินอาหาร
ช่วงเกิดสถานการณ์โควิด 19 การเลี้ยงประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ ที่ซบเซาลงจนส่งผลกระทบต่อการเลี้ยงจระเข้อย่างมาก อีกทั้งช่วงที่ผ่านมา ฟาร์มหมูเกิดโรคระบาด ทำให้การเลี้ยงจระเข้ตามฟาร์มหมู เลิกการเลี้ยงไปหมด หลายฟาร์มได้ขายจระเข้ออกไป เนื่องจากไม่มีซาก และรกหมูให้จระเข้กิน
นายสัตวแพทย์สรรเสริญ สุขพอดี เจ้าของฟาร์มจระเข้ กล่าวว่า ปัจจุบันฟาร์มมีพ่อแม่พันธุ์อยู่ประมาณ 120 - 150 ตัว สมัยก่อนหนังจระเข้ พึ่งพาการส่งออกต่างประเทศ แต่หลังโควิดระบาด มีการส่งออกไม่ดี ทำให้ตลาดจระเข้ภายในประเทศไม่เดิน อีกทั้งจระเข้จะติดปัญหาเรื่องสัญญาไซเตส ตอนนี้มีการเพิ่มจำนวนการเลี้ยงมากขึ้นจากลูกที่เพาะพันธุ์ออกมา ซึ่งสามารถเป็นสัตว์เศรษฐกิจได้ ตนเองเคยเลี้ยงจาก 16 แม่ เพิ่มมาเกือบ 3,000 ตัว ได้ลูกประมาณปีหนึ่งเกือบ 1,000 ตัว ไม่สูญพันธุ์แน่นอน แต่สิ่งที่น่าทำเป็นสัตว์เศรษฐกิจได้คือ ถ้ามีศักยภาพทำการฟอกหนัง ให้เป็นสินค้าเครื่องหนัง เช่น กระเป๋าสตางค์ราคาจับต้องได้ ทำเป็นสินค้าโอท็อปของไทย อย่างกระเป๋าสตางค์สมัยก่อนใบละ 2,000 - 3,000 พันบาท เดี๋ยวนี้ซื้อไม่เกินพันบาท คนที่ใช้กระเป๋าจากหนังจระเข้มาใช้น่าจะซื้อได้ ประโยชน์การใช้ใบกว่า 10 ปียังไม่พังเลย สมัยก่อนมีรายใหญ่รายหนึ่งทำกระเป๋าส่งออกต่างประเทศ ราคาแพงมากใบละเป็นหมื่นบาท สาเหตุที่แพง อาจจะเป็นเพราะบวกกันเยอะ ทำให้เศรษฐกิจซบเซา พอราคาแพงเกินเหตุ ทำให้ผู้บริโภคจับต้องไม่ได้ ได้แต่พึ่งตลาดส่งออกอย่างเดียว ซึ่งกำลังคิดกับเพื่อนในกลุ่ม น่าทำเป็นสินค้าโอท็อปขายให้คนไทย เป็นพวกกระเป๋าสตางค์ใบละ 800 - 1,000 บาท สำหรับอนาคตตัวเองจะเลี้ยงเรื่อยไปถือว่าเป็นการอนุรักษ์ ทุกวันนี้เลี้ยงจระเข้แค่เป็นงานอดิเรก เพราะมีงานประจำอยู่แล้ว หวังรอจังหวะราคาดีขึ้น หลังจากที่ตอนนี้ราคาตกต่ำมาก จากเดิมขายราคาเมตรละ 3,000 - 5,000 บาท เป็นความยาวของลำตัว แต่เดียวนี้ขายไม่ได้เลย ส่วนการนำเนื้อไปบริโภค มองว่าคนไทยังไม่ค่อยกล้ากินมาก มีแค่บางกลุ่มที่นิยมกินกันเท่านั้น
จึงอยากให้หน่วยงานภาครัฐช่วยแก้ไขปัญหา ทำอย่างไรให้ผู้เลี้ยงรวมตัวกันฟอกหนังได้ เช่น ราชบุรีให้รวมกลุ่มผู้เลี้ยงจระเข้แล้วเปิดโรงฟอกหนังขึ้นมา 1 โรง ให้สมาชิกรวมเงินกัน นำมาสู่การสร้างองค์ความรู้เกิดขึ้น เอาหนังที่ฟอกได้มาทำเป็นสินค้าผลิตภัณฑ์โอท็อป เชื่อว่าขายได้ไม่จำเป็นต้องไปนำสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขาย ไม่จำเป็นต้องส่งออกหนังไปต่างประเทศ ถ้าต่างประเทศอยากได้หนังดีก็ให้มาซื้อที่เมืองไทย ส่วนโรงฟอกหนังในประเทศมี แต่เป็นของเอกชน เคยทราบราคามาฟอกหนังจระเข้ตัวละ 3,500 บาท ดูจะแพงเกินไป ขณะที่จริง ๆ แล้วค่าน้ำยาฟอกหนัง และอุปกรณ์การฟอกก็ไม่ได้แพง ทั้งนี้ก็คงต้องขึ้นกับหน่วยงานภาครัฐที่จะมีแนวทางแก้ไขปัญหาหรือสนับสนุนอย่างไร เพื่อความอยู่รอดของขบวนการเลี้ยงจระเข้ในอนาคต
#ภูมิภาค-35