สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดประชุมประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย Thailand’s Institutional Reform” โดยเน้นสะท้อนข้อจำกัดเชิงโครงสร้างและปัจจัยเชิงสถาบันที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ

แม้ว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566–2570) จะมีการขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรจำนวนมาก แต่ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ยังไม่ก้าวหน้ามากพอ โดยเฉพาะด้านความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาคน การจัดการสิ่งแวดล้อม และระบบราชการที่ซ้ำซ้อน ขาดประสิทธิภาพ ส่งผลให้ ความเชื่อมั่น (Trust) และ ความคาดหวัง (Hope) ของประชาชนต่อการพัฒนาประเทศลดลง

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒน์ ระบุว่า ประเทศไทยมีศักยภาพจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจภูมิภาค แต่ตลอดช่วงที่ผ่านมา การขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่เคยทะลุ 5% ต่อเนื่องมาตั้งแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 ขณะที่ความสามารถในการแข่งขันถดถอยลงเพราะปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น

กฎหมายและกฎระเบียบจำนวนมากที่ไม่เอื้อต่อการแข่งขัน

หลักนิติธรรมไม่เข้มแข็ง เพิ่มต้นทุนให้ประชาชนและธุรกิจ

การทุจริตคอร์รัปชันที่บั่นทอนความเชื่อมั่น

ประชาธิปไตยที่ไม่มั่นคง กติกาไม่เป็นธรรม

ภาครัฐขนาดใหญ่ การทำงานแยกส่วน ขาดบูรณาการ

นายศุภวุฒิย้ำว่า หากประเทศไทยยังคงโครงสร้างที่บิดเบี้ยวและกลไกสถาบันที่อ่อนแอ จะไม่สามารถพัฒนาไปได้ไกล จึงถึงเวลา “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย” เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นและปลดล็อกศักยภาพการแข่งขัน

ด้าน นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ ชี้ว่า ปัญหาของไทยคือการเติบโตที่ต่ำกว่า 5% ไม่พอจะทำให้ประเทศหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง พร้อมระบุว่า 5 ปัญหาเชิงโครงสร้างหลัก ได้แก่ กฎหมายล้าสมัย, คอร์รัปชัน, นิติธรรมอ่อนแอ, ประชาธิปไตยไม่มั่นคง และภาครัฐไร้ประสิทธิภาพ โดยต้องผลักดันการปฏิรูปตามกรอบ D-A-R-E to Reform คือ Determination (มุ่งมั่น), Action Together (ลงมือร่วมกัน), Redesign Innovation (ออกแบบใหม่), Emergency Mindset (เร่งด่วน)

นายวิรไท สันติประภพ ประธาน TDRI และอดีตผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่า ระบบราชการไทยกลายเป็นตัวถ่วง จึงต้องพลิกโฉมอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการปรับปรุงเล็กน้อย พร้อมเตือนว่า หากไม่ปฏิรูปจริง ประเทศไทยอาจกลายเป็น “รัฐกบต้ม” ที่ไม่สามารถกระโดดพ้นความร้อนแรงของปัญหาได้

ขณะที่ นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TTB เสนอว่า รัฐบาลใหม่ควรใช้เวลาช่วง 4 เดือนแรกเป็น “การติดกระดุมเม็ดแรก” โดยดำเนินงาน 3 แกนสำคัญ ได้แก่

ภาคประชาชน : สร้างวินัยทางการเงิน แก้หนี้ครัวเรือน

ภาคธุรกิจ : ปรับมาตรฐาน RVC และแยกแยะ SME ที่แท้จริง

ภาครัฐ : ผลักดัน public service ขึ้นสู่ระบบดิจิทัล

ทั้งหมดนี้เป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกภาคส่วนเห็นตรงกันว่า หากไม่ยกเครื่องโครงสร้าง ประเทศไทยจะเสี่ยงสูญเสียโอกาสในการแข่งขัน และอาจไม่ทันต่อพลวัตโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว


#สภาพัฒน์ #ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย #ปฏิรูประบบราชการ #เศรษฐกิจไทย #ThailandReform #DareToReform #TDRI