คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจากการเปิดเผยข้อมูลของ “สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” หรือที่เรียกสั้นๆว่า “สภาพัฒน์”ที่ได้ออกมารายงานถึงสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของประชาชนชาวไทย โดยได้จัดอันดับของจังหวัดที่มีคนยากจน สิบ อันดับต้นๆ อันได้แก่

แม่ฮ่องสอน:  มีคนว่างงาน 25.69%

ยะลา: มีคนว่างงาน 25.41%

ปัตตานี: มีคนว่างงาน 25.39%

นราธิวาส: มีคนว่างงาน 21.07%

อุบลราชธานี: มีคนว่างงาน 20.34%

สระแก้ว: มีคนว่างงาน 16.00%

พัทลุง: มีคนว่างงาน 15.74%

ศรีษะเกษ: มีคนว่างงาน 14.08%

เชียงราย: มีคนว่างงาน 13.69%

ตาก: มีคนว่างงาน 13.37%

โดยสภาพัฒน์ได้ชี้ต่อไปอีกว่า ประเทศไทยมีปัญหาความยากจนที่เรื้อรัง โดยที่ไม่มีแนวโน้มว่า จะแก้ไขได้ง่ายๆ!!!

ดูเหมือนว่า ปัญหาด้านความยากจนจะเป็นปัญหาโลกแตก ที่ดูเหมือนว่าขณะนี้กำลังเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกโลก

แม้กระทั่งประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่เยี่ยงสหรัฐอเมริกา ก็ยังมีปัญหาที่ต้องเผชิญกับปัญหาความยากจนที่เคยมีอยู่ที่ 20% เมื่อปีค.ศ. 1964  ซึ่งมี “ประธานาธิบดีลินดอน บี. จอห์นสัน” ดำรงตำแหน่งต่อจาก “ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคเนดี” ที่ครั้งนั้นเขาออกมาป่าวประกาศปลุกใจอเมริกันชนว่า เขาจะเข้ามาช่วยต่อสู้กับสงครามความยากจน

นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาสหรัฐฯเร่งรุดดำเนินนโยบายต่างๆ เพื่อต้องการที่จะกำจัดปัญหาด้านความยากจน โดยใช้โครงการเสริมขึ้นมา เช่น โครงการสร้างงาน โครงการยกระดับการศึกษาเด็กๆตั้งแต่เยาว์วัย

ถึงแม้ว่าสหรัฐฯจะจัดสร้างโครงการต่างๆขึ้นมาอย่างมากมายติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 61 ปีก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า ปัญหาด้านความยากจนยังประสบความล้มเหลว โดยขณะนี้สหรัฐฯมีชาวอเมริกันที่อยู่ในสถานะยากจนมากถึง 35.9 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 342 ล้านคน อีกทั้งจำนวนของคนว่างงานในสหรัฐฯขณะนี้ก็มีอยู่ที่ 4.3%

แม้แต่ประเทศมหาอำนาจพญามังกรเยี่ยง ประเทศจีน ที่ขณะนี้กำลังแข่งขันกับสหรัฐฯ ที่ผ่านๆมาก็ยังเคยประสบปัญหาด้านความยากจนอย่างร้ายแรงมาก่อน โดยเมื่อ 73 ปีก่อนหน้านี้ 93% ของประเทศจีนยังคงเป็นสังคมของเกษตรกรรม

โดยที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า “ประธานเหมา เจ๋อตง” มีวิสัยทัศน์ที่ค่อนข้างกว้างไกล โดยเขาได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้เมื่อครั้งที่เขาดำรงตำแหน่ง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเป็นผู้นำประเทศจีนตั้งแต่ค.ศ.1949 ว่า หากจีนจะสามารถเติบโตทางเศรษฐกิจ จีนจะต้องมีวิวัฒนาการทางด้านอุตสาหกรรมหนัก เพื่อให้มีความก้าวหน้าทันเทียบเท่าประเทศสหรัฐอเมริกา ที่อาจจะถือว่า ประธานเหมา เจ๋อตุง เป็นบิดาของวงการอุตสาหกรรมจีนก็ได้

อย่างไรก็ตามจีนได้ออกมาประกาศ เมื่อปีค.ศ. 2020 ว่า “จีนสามารถกำจัดความยากจนให้หมดสิ้นไปแล้ว โดยจีนสามารถกำจัดความยากจนที่ร้ายแรงให้ออกไปจากชาวจีนทั้งหมด 800 ล้านคน (ข้อมูลจาก World Bank Group:  Lifting 800 million people out of Poverty—Ne Report Looks at Lessons from China’s Experience: April 1, 2022)

คราวนี้ลองหันมาดูความหวังของประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาด้านการต่อสู้กับความยากจนกันดูบ้าง

ปัญหาด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม

จะเห็นได้ว่า “นิคมอุตสาหกรรม” ของประเทศไทย นับเป็นฟันเฟืองสำคัญในด้านการพัฒนาโดยขณะนี้ประเทศไทยมีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศและ 62 แห่งกระจายอยู่ใน 18 จังหวัด ซึ่งมี “ดร.สุเมธ ตั้งประเสริฐ” เป็นผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

โดยภาพรวมแล้วการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของไทย นับว่าไม่ล้าหลังหากจะกลายเป็นสังคมด้านอุตสาหกรรม

ส่วนสิบจังหวัดที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งถือเป็นจังหวัดที่ประชาชนประสบกับปัญหาด้านความยากจน ปรากฏให้เห็นว่า จังหวัดเหล่านั้นไม่มีอุตสาหกรรมด้านนิคมอุตสาหกรรมเข้าถึง

ฉะนั้นถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะต้องเร่งรุดพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานทั้งทางด้านการคมนาคม ด้านการสร้างถนน ทางรถไฟ และระบอบขนส่ง ที่จะช่วยให้การขนส่งสินค้าและแรงงาน ให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น!!!

นอกเหมือจากนั้นรัฐบาลยังจำเป็นที่จะต้องลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงานและระบบสื่อสารให้มีความเพียงพอและเข้าถึงได้ง่าย

สิ่งที่จำเป็นที่สุดรัฐบาลควรจะต้องส่งเสริมทางด้านการลงทุน รวมทั้งมีมาตรการให้แก่นักลงทุนที่สามารถจะมีสิทธิประโยชน์ต่างๆทั้งทางด้านภาษี ด้านเงินสนับสนุน เพื่อจูงใจให้แก่บรรดานักธุรกิจเข้าไปลงทุนในสิบจังหวัดที่อยู่ในอันดับต้นๆที่กำลังประสบกับปัญหาด้านความยากจน

ปัญหาด้านการศึกษา

การศึกษาของไทยก็มีความจำเป็นๆอย่างยิ่งที่จะต้องยกระดับคุณภาพการศึกษาให้เป็นหลักใหญ่แก่ จังหวัดที่ประสบกับปัญหาความยากจน เพื่อสร้างบุคลากรให้มีศักยภาพและมีความพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง หากมีการเข้าไปสร้างธุรกิจหรืออุตสาหกรรมต่างๆขึ้นมา

ปัญหาด้านสถานะการเมืองของไทย

ประเทศไทยถูกมองจากนานาชาติว่า รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพประสบกับสภาพล้มลุกคลุกคลาน ซึ่งในสายตาของนักธุรกิจเป็นการเสี่ยงต่อการลงทุน โดยนักลงทุนต่างชาติไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่ารัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นแต่ละครั้งจะอยู่ได้นานแค่ไหน? การคัดสรรคณะรัฐมนตรีในแต่ละสมัยของประเทศไทยเป็นการแบ่งโควต้าเล่นพรรคเล่นพวก

และหากว่า “พรรคประชาชน”จะเปิดตัวคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงใดๆก็ตาม ได้เหมือนดั่งที่พรรคของเขาออกมานำเสนอ ก็น่าจะเป็นนิมิตรใหม่ที่ดีของแวดวงการเมืองไทย

ทั้งนี้ในสมัย “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” เขาได้จัดตั้งศูนย์ไฮเทค(Tech hubs)ขึ้นมาถึง 31 แห่งทั่วสหรัฐฯ  เพื่อให้มีศักยภาพในการสร้างงานและเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงไม่แปลกแต่อย่างใด ที่ในยุคสมัยของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน จำนวนอัตราของคนอเมริกันที่ได้เข้าทำงานจะมีเพิ่มขึ้นตลอดทั้ง 48 เดือนที่เขาอยู่ในตำแหน่ง แต่กลับปรากฏว่า ลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่องในยุคสมัยของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้น การที่ผมนำเอาประเทศไทยของเราไปเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกา ท่านผู้อ่านอาจจะแย้งและค้านว่า เพราะเหตุใดจึงเอาประเทศเล็กๆไปเปรียบเทียบกับประเทศยักษ์ใหญ่มหาอำนาจ แต่เนื่องจากผมต้องการที่จะนำเสนอและให้ความคิดเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ ประเทศไทยของเราจะต้องไหวตัวทั้งผลักทั้งดันสะบัดแข้ง สะบัดขาให้มีความเคลื่อนไหวขยับตัววิ่งหนีความยากจน ที่ผู้บริหารคนใหม่ที่จะเข้ามาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะต้องศึกษาทำการบ้านกันอย่างจริงจังเสียทีละครับ