ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“ในความมีอยู่ของมนุษย์เราทกคน..การตระหนักรู้และเข้าใจรากเหง้าแห่งภาวการณ์ต่างๆของความเป็นตัวตน..ล้วนคือ..ความหมายอันจริงแท้และยืนยงของชีวิต..เป็นสมบัติแห่งธารสำนึกที่ไหลหลั่งอย่างไม่หยุดยั้งของผู้คน..กระทั่งคือเหตุแห่งผลของการเดินทาง เพื่อแสวงหา.. “สมุดความคิด” อันงามวิจิตรที่เต็มไปด้วยสีสันของ “ช่ออักษร” ที่สะพรั่งบาน..อย่างไม่หยุดยั้งและเสื่อมสลาย..!
“..จึงต่างเป็นเรื่องราวคราวบอกเล่า/ร้อยใจเรากับวรรณกรรมสาร/จะสดชื่น รื่นรมย์ หรือร้าวราน/ล้วนผลิบานเป็นดอกไม้ให้บทกวี/
...*ช่ออักษรงดงาม “นามมนุษย์”/บนสมุดความคิดวิจิตรสี/สะท้อนสุขเศร้าโศกโลกชั่ว-ดี/คือสะพานอัญมณีแห่งวรรณกรรม/”* “สะพานอัญมณีแห่งวรรณกรรม” ดังกล่าว..ถูกทอดยาวไปข้างหน้าด้วยน้ำคำแห่ง “ลีลาของบทกวี” ที่สรรสร้างและปรุงแต่งขึ้นมาโดย “กวีหญิง” ผู้โอบกอดประสบการณ์เป็นวิถีคิดอันดื่มด่ำและตกผลึก..
“แม่น้ำ เรลลี่”.. “คือชีวิต ผู้คน และการเดินทาง” (Life,People and Travel)..ชุมนุมบทกวี..เกือบหนึ่งร้อยบาท..ด้วยจุดประสงค์ที่มุ่งหวังถึง..การถ่ายทอดความทรงจำอันน่าประทับใจออกมา..นับแต่สมัย “วัยสาว..วัยกลางคน..จนกระทั่งวัยใกล้ชรา”
โดยจัดวางสาระเนื้อหาโยงใยถึงกัน..โดยการเริ่มต้นขึ้นด้วยความรู้สึกแห่งรัก..ตามมาด้วยความชื่นชมและศรัทธา..ผ่านข้ามไปถึง ความปีติยินดี ความเศร้าโศก และความอึกทึกครึกโครม ..กระทั่ง ความสับสน ความทุรนทุราย ความโดดเดี่ยวเดียวดาย..ความเข็มแข็ง ความอ่อนแอ ความขบถ ความผิดหวัง ความสมหวัง ความรู้ความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ..ก่อนที่จะจบลงด้วยความเหงาเงียบ ความเงียบงัน และ ความตาย
“แม่น้ำ” ได้ยืนยันถึงความเป็นจริงแห่งบรรดาความรู้สึกในรับรู้ ต่อเชื้อไฟของการก่อเกิด “เปลวประกายแห่งประพันธกรรม” ของเธอว่า.. “ความรู้สึกทั้งมวล..ที่ฉันได้กล่าวถึงนี้..มีทั้งผุดพรายจากสามัญสำนึก เติบโตผ่านการเรียนรู้ รวมถึงก่อรูปวุฒิภาวะจากปฏิสัมพันธ์กับปัจเจกบุคคลอื่น..ทั้งที่ อยู่ในวัฒนธรรมเดียวกัน..และต่างวัฒนธรรมออกไป”
...แก่นความคิด..เหนือความรู้สึกในรับรู้เเสดงให้เห็นถึง “วิถีแห่งสัจจะ” นับแต่บทเริ่มต้น..คือบทแสดงของแต่ละผู้คนที่ซ้อนซับอยู่ด้วยกัน..!
“อาจเป็นหนึ่งเรื่องราวของคนยาก/ผู้ลำบากเข็ญยุคกลางยุคสมัย/ถูกเหยียบย่ำมากมายทั้งกายใจ/สร้างนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่แด่ผองชน/*อาจเป็นหนึ่งเรื่องราวข่าวดีงาม/ผู้รู้เฝ้าติดตามและฝึกฝน/เพื่อมีชัยเหนือวิญญาณอันว่ายวน/ก้าวข้ามความมืดมนอนธการ)/ *จึงต่างเป็นเรื่องราวคราวบอกเล่า/ร้อยใจเรากับวรรณกรรมสาร/จะสดชื่น รื่นรมย์หรือร้าวราน/ล้วนผลิบานเป็นดอกไม้ให้บทกวี/อารมณ์ความรู้สึก..ใน “สัญชาตญาณแห่งกวี”..ผสานเบื้องลึกสู่น้ำคำ ณ ห้วงขณะ..ของอาการสัมผัสรู้..ดั่งรอยจุมพิตบนริมฝีปาก..ที่ทั้งนุ่มนวลและล้ำลึก..นั่นคือสิ่งที่ “แม่น้ำ” วาดแต่งขึ้นมา.. ด้วยสิเน่หา..!
“จุมพิตของกวี/ค่ำคืนนี้..ลอบเข้ามาเวลาฝัน/หวานละไมไหวทรวงแห่งดวงจันทร์/ยังยืนยันสิเน่หายามพร่าเรือน/
*ริมฝีปากของเจ้า/ยังเร่งเร้าความทรงจำระบำเถื่อน/เจ้าหมุนข้า ข้าหมุนเจ้า เราฟั่นเฟือน/วิปลาสบาดเเสงเดือนอันเลื่อนลอย/
*มือหยาบกร้านของเจ้า/ยังคลึงเคล้าสรรพางค์มิห่างถอย/ร่างกายข้าสุกปลั่งดั่งเพชรพลอย/ก่อนล่วงผล็อยลงผืนผ้าแห่งราตรี มีอยู่หลายๆขณะ...ที่คนเราก็ไร้ถ้อยคำที่จะสื่อสารโดยสามัญ..ไม่มีอะไรที่จะบอกกล่าวออกมา..จากใจสู่ใจ..เว้นแต่ว่า “อารมณ์กวี” จะขานไขความรู้สึกในเบื้องลึกออกมาสู่นัยรับรู้.. ที่ทั้งบริสุทธิ์และเงียบงัน..!
“..ให้ความเงียบสนทนาประสาเรา/บทกวีบอกเล่าเรื่องเธอ-ฉัน/แด่ดวงใจอ่อนหวานใต้ลานจันทร์/ผู้แบ่งปันรักร้อยแทนถ้อยคำ”
..ด้วยผัสสะของบทกวี..ในช่วงเริ่มต้นที่เปี่ยมเต็มไปด้วย “จำนรรจาแห่งดอกไม้งาม”..ส่งผลให้ลมหายใจกวีของ “แม่น้ำ” จึงเป็นดั่ง.. “วันวานที่ได้อิ่มใจในรักแล้ว” ..เป็นภาพงดงามของจิตวิญญาณ..ที่ได้ขับขานบทกวีออกมาอย่างบริสุทธิ์.. “ขอบคุณภาพงดงาม ความรู้สึก/เมื่อบทเพลงได้ล้ำลึก ณ ที่นี่/เมื่อวิญญาณได้ขับขานบทกวี/เมื่อราตรีท่องไปได้เบิกบาน/
* “เธอคือนักเดินทางกลางลำนำ/คือถ้อยคำอ่อนโยนและอ่อนหวาน/ฉันจะไม่ร้องไห้ไหวร้าวราน/ด้วยวันวานฉันอิ่มใจในรักแล้ว”...มีคำถามสำคัญต่อชีวิตบทหนึ่ง..ซึ่งเราต้องตอบให้ได้..มันคือเงื่อนงำของความเข้าใจและปลดปลงชีวิต ..
“แม่น้ำ” พัดพาสิ่งเหล่านี้เข้ามาสู่ “ความเดียวดาย” ที่เปรียบได้ดั่งอนุสรณ์ของวันเวลา..การเปรียบเทียบเช่นนี้ ..เป็นผลให้ “ผู้อ่าน”..มีจิตวิญญาณที่ดื่มด่ำกับ “สารสัญญา” อันผลิดอกเป็น “ถ้อยคำกวี” ที่ต้องหยั่งคิด..!
“สารัตถะสัญญาหน้าไหนเล่า/งามขุนเขาแค่ลวงใจใช่ไหมนี่/งามพฤกษ์พันธุ์ล้วนลับลากับนาที/หรือว่าชีวิตคือ “ความเดียวดาย”/
*ต่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเงาเบื้องหน้า/เมื่อทุกสิ่งไร้คุณค่า ไร้ความหมาย/เมื่อชีวิตมีเข็มทิศท่องความตาย/เมื่ออดีตช่างคลับคล้ายคราบมายา
*ผ่านดอกไม้มองเห็นเป็นขุนเขา/เห็นรูปเงาสายน้ำเสน่หา/วูบหนึ่งลมพัดเถ้าปลิวเข้าตา/อนุสรณ์วันเวลา โลกครานั้น"/..ตำนานแห่งธรรมชาติของเผ่าพันธุ์ สื่อสารเชื่อมโยงวิถีของการมีชีวิตอยู่ที่ทั้งตื่นตระการและอหังการ์..ผ่านการศึกษาที่ทะลุผ่านผลึกแห่งประวัติศาสตร์ของ “จริตวิถี”!
“เหนือพื้นราบภาพโยนีศิวลึงค์/หยั่งลึกซึ้งถึงวิญญาณสะท้านเศร้า/โลกเคลื่อนด้วยดวงใจไหวมัวเมา/หรือด้วยเงาเทพเทวีสร้างลีลา/
*สั่นสะเทือนกึกก้องเถื่อนท้องถ้ำ/คือถ้อยคำไถ่ถามความปรารถนา/ใดจริงแท้ ใดแค่มวลมายา/ฉันหลับตาครุ่นคิดพินิจตาม/
*พลันรู้สึกเสียงหนึ่งซึ่งอ่อนนุ่ม/กังวาลทุ้มจากทางลงที่ตรงข้าม/โอ้เด็กน้อยรอยวิถีความดีงาม/ล้วนอยู่ในโมงยามความเติบโต.."/
..ตำนานที่ถูกกล่าวขานข้างต้น..เป็นชีวิตของเผ่าอารยัน ชนเผ่าที่มีถิ่นกำเนิดเดิม อยู่ที่บริเวณเทือกเขาคอเคซัส ประเทศจอร์เจียในปัจจุบัน..ซึ่งมีอยู่ 3 กลุ่ม..กลุ่มแรกอยู่ที่ประเทศกรีซและอิตาลีในทวีปยุโรป/กลุ่มสอง..กระจายตัวอยู่ที่เปอร์เชีย ประเทศอิหร่าน แถบทะเลสาบแคสเปียน..และกลุ่มที่สามอยู่แถบลุ่มแม่น้ำสินธุ ประเทศอินเดียและปากีสถาน..กลุ่มนี้คือกลุ่มที่ “แม่น้ำ” เขียนถึงผ่านประสบการณ์แห่งการเดินทางไกลของเธอ..!
"หนอสายฝนเมืองใหญ่ตกใส่จิต/เพียงน้อยนิดกลับแดดิ้นสิ้นศักดิ์ศรี/พิโธ่เอ๋ย! อหังการ์ดวงตากวี/โลกเสรีแคบเช่นแก้ว แล้วหรือไร..”
ในความอ่อนโยนแห่ง “บทกวี” ชีวิต..มีความเข้มแข็งและแน่นหนักอยู่ในรอยร่างนั้น..ด้วยสายตาแห่งความคิดในโลกตระหนัก..ตราบใดที่ชีวิตยังคงท่องเที่ยวไปในวังวนแห่งมายาชีวิต..ธรรมชาติของการดำรงอยู่ของแต่ละผู้คนก็มีโอกาสที่จะเผชิญหน้ากับเนื้อแท้แห่ง “ธรรมชาติของอุปสรรค”..ซึ่งในหลายครั้งหลายค้น..ชีวิตจิตใจของเราก็จำยอมที่จะต้องพ่ายแพ้..อย่างไม่น่าจะเกิด..!
แต่ตราบใดที่ใจและกายของเรารู้ตัวทั่วพร้อม..ชีวิตก็มีโอกาสที่จะเดินทางไปด้วยกงล้อของเจตจำนง..เราจะลืมตาตื่นขึ้น..แม้โลกจะไม่เริงรื่นเลยก็ตาม..
ลืมตาตื่น ฉันลืมตาตื่น/โลกกลับไม่เริงรื่น ไม่ชื่นหวาน/สายหมอกยังล่องไหลอย่างทรมาน/สายน้ำยังเล่านิทานตอนต่อไป..
*ลืมตาตื่น ฉันลืมตาตื่น/พบเพียงวันขมขื่นคืนสั่นไหว/หากพระเจ้าสถิตย์อยู่เคียงคู่ใจ/ขอฉันหลับฝันไปใน..นิรันดร์
สุดท้าย..บทสรุปของโลกในความหมายแห่งการมีชีวิตอยู่ของ “แม่น้ำ” จึงปรากฏหลักการณ์ความคิดออกมา..อย่างดิ่งลึก..หากความมืดบอดไม่ก้าวล้ำเข้ามาครอบงำชีวิตของเรา..และ หากสายตาของเราไม่อับแสงของการมองเห็นบทตอนของ “ฉากทัศน์” ที่ตัวตนว่ายวนอยู่..ผลลัพธ์ทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นก็ย่อมเป็น “ปริศนาธรรม” ของ “ข่าวอันแสนเศร้าที่เผาใจเราทุกคน” ..เพียงเท่านั้น..!
“..โอ้แม่ของ ทำนองเพลงบรรเลงชีวิต/แดนศักดิ์สิทธิ์บรรพชนผู้คนเก่า/พญานาคจากลำเนา/เป็นรูปเงาแห่งความฝันวันอุดม/
*แต่แม่ของวันนี้เท่าที่เห็น/กลับมิเป็นดั่งความฝันอันสุขสม/น้ำเหือดหายทรายจ้าแจ่มซ่อนแหลมคม/สามานย์ทุนนิยมข่มวิญญาณ/
*เขื่อนน้อยใหญ่ ไทย จีน ลาว ล้วนกร้าวแกร่ง/ต่างยื้อแย่งมวลน้ำอย่างกล้าหาญ/ต่างเก็บกักเพื่อตนดุจคนพาล/ละเมิดสิทธิ์รอนราญประชาชน/
.. “คือชีวิต ผู้คน และการเดินทาง”..คือรวมบทกวี..ที่ส่องสะท้อนถึง “กระจกส่องโลก” อันแตกพร่า..ด้วยภาษาอันเรียบง่าย..เป็นสามัญในท่าทีที่หนักแน่นลึกซึ้ง..ด้วยวิถีแห่งสุนทรียะทางปัญญา และข้อวินิจฉัยนานา..ที่ไม่จำเป็นต้องอวดภูมิ...!
..การสะท้อนหัวใจของภาพทุกภาพผ่านสาระของบทกวี..เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป..เป็นก้าวย่างที่เนิบช้า ผ่านการพิเคระห์ที่เปิดเปลือย..แต่ระแวดระวัง..เป็นลีลาที่ซ้อนอยู่ในลีลา..ที่เร้นซ่อน..ของความเป็นกวี..และบทกวี..ที่ทำให้เราต้องย้อนวนไปสู่"ต้นน้ำของ.. “ความเป็นนิรันดร์”..!
“โอ้” แม่ของ ทำนองเพลงบรรเลงชีวิต/ยามนี้คล้ายหลงทิศจิตป่วนปั่น/พญานาคหลั่งน้ำตาด้วยขาบัลย์/จน..ร่างกายไหวสั่นเขื่อนกั้นร้าว/
*แดดสุดท้ายหายลับไปกับฟ้า/เหนือธาราสัตว์ทั้งผองกองทบท่าว/สิ้นสายน้ำแสนงามตามเรื่องราว/มีเพียงข่าวแสนเศร้า เผาหัวใจ!"..