วันที่ 24 ก.ย.68 รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง และการต่างประเทศ โพสต์การให้สัมภาษณ์รายการ "ตอบโจทย์" ในหัวข้อ จับตาไทย "ขีดเส้นตาย" จัดการ "ชาวบ้านกัมพูชา" ล้ำแดน ผ่านเฟซบุ๊ก Panitan Wattanayagorn ระบุว่า...

จะขีดเส้นตายหรือเส้นเป็น จะรุกหรือจะรับ หรือจะต้องทำหลายอย่างไปพร้อม ๆ กัน คุยกันในคลิปนี้ครับ

สถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ใกล้หลักเขตที่ 423 ทวีความรุนแรงขึ้น หลังพบชาวกัมพูชาและทหารพร้อมอาวุธรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงเรียกร้องให้รัฐบาลชุดใหม่กำหนด "เส้นตาย" และใช้กลยุทธ์เชิงรุกทั้งด้านการทูตและการทหาร เพื่อยุติการบุกรุกที่ลึกถึง 250 เมตร ชี้การนิ่งเกินไปอาจทำให้กัมพูชาเข้าใจผิดว่าไทยไม่เอาจริง

ปัญหาการรุกล้ำครั้งนี้เกิดขึ้นบริเวณหลักเขตที่ 423 ซึ่งมีการพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าเป็น ดินแดนของประเทศไทย แต่ชาวบ้านกัมพูชายังคงอาศัยอยู่ รายงานระบุว่า จุดที่เกิดการเผชิญหน้า กัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามาลึกถึง 250 เมตร

ในความพยายามก่อนหน้านี้ ไทยเคยใช้รั้วลวดหนามเพื่อสร้างหลักฐานให้ชัดเจน แต่ถูกตอบโต้ด้วยการ ใช้คน, เด็ก, พระ, ผู้หญิง, และชายฉกรรจ์ที่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบ มากดดัน แม้ฝ่ายไทยจะเคยใช้ตำรวจควบคุมฝูงชนและแก๊สในการผลักดัน แต่ฝ่ายกัมพูชายังคงเดินหน้าอย่างเข้มข้นต่อไป

นอกจากนี้ กัมพูชาได้ ยกระดับสถานการณ์ โดยการส่งนายทหารติดอาวุธถึง 50 นายเข้าประจำที่ในเชิงรุกในพื้นที่ และมีการกล่าวอ้างถึงการขนอาวุธหนัก ขณะเดียวกันก็มีการใช้โดรนเพื่อลาดตระเวนหาเป้าหมายและฝึกฝนบุคลากร

ประเทศไทยยืนยันจุดยืนชัดเจนว่า ที่ดินของไทยคือของไทย และจะ ไม่ยอมอย่างแน่นอนในเรื่องเขตอธิปไตย พร้อมยืนยันสิทธิ์ในการดำเนินการได้ "จากเบาไปหาหนัก"

ในปี 2559 กัมพูชาเคยลงนามยอมรับในคณะกรรมการสำรวจและปักปันเขตแดนแล้วว่า หลักเขต 42 และ 43 นั้นถูกต้อง เหลือเพียงการลากเส้นเขตแดนเท่านั้น

มีพยานคือ UN (สหประชาชาติ) ที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือ และควรแจ้งต่อกัมพูชาว่าดินแดนนี้เป็นของไทย

แม้ว่าอำนาจกำลังรบของไทยจะ มากกว่ากัมพูชาอยู่หลายเท่า และทหารในพื้นที่รับทราบความเคลื่อนไหวและตำแหน่งอาวุธของข้าศึก แต่การตัดสินใจเชิงทหารกำลังติดข้อจำกัดด้านนโยบายอย่างหนัก

1. ขาด "ไฟเขียว" ทางการเมือง ฝ่ายปฏิบัติการไม่สามารถตัดสินใจเชิงนโยบายได้หลายเรื่อง หากฝ่ายบริหารไม่เห็นชอบ

2. ติดอยู่กับ กฎการปะทะ (ROE) ไทยไม่สามารถใช้ความรุนแรงได้ หากกัมพูชาไม่ใช้อาวุธก่อน

3. แผนเน้น "รับ" มากกว่า "รุก" ทำให้ทหารที่อยู่หน้างานเกิดความอึดอัด

4. ความชอบธรรม: ไทยกังวลเรื่องภาพลักษณ์ว่าประเทศใหญ่รังแกประเทศเล็ก

ข้อเสนอเชิงรุก ขีด “เส้นตาย” 3 เดือน และใช้สงครามจิตวิทยา

การที่ฝ่ายไทยมีท่าที "นิ่ง" ในช่วงเวลานี้ อาจเป็นเพราะกำลังเข้าสู่ช่วงการประชุมเวที UN หรือรอการจัดตั้งรัฐบาลเต็มทีม แต่เตือนว่า ไม่ควรนิ่งทั้งหมด เพราะอาจทำให้กัมพูชาเกิดความย่ามใจ

ข้อเสนอแนะที่รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการโดยเร็วที่สุดคือ การกำหนด "เส้นเป็นและเส้นตาย" และดำเนินกลยุทธ์ทั้งรับและรุกไปพร้อมกัน

การทูตเชิงรุก (ยื่นเงื่อนไข): นายกรัฐมนตรีควรเจรจาตรงกับผู้นำกัมพูชา อาจดึงนายอันวา อิบราฮิม (มาเลเซีย) เข้ามาร่วมด้วย พร้อมยื่น เงื่อนไข 3 ข้อภายใน 3 เดือน:

    1. ให้กัมพูชาถอนกำลังทั้งหมดออกไป

    2. ให้กู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่

    3. ให้รับชาวกัมพูชาที่หนองจาน หนองหญ้าแก้ว และจุดอื่นๆ กลับประเทศ

การทหารและสงครามจิตวิทยา ควร เสริมกำลังอย่างเปิดเผย ในเขตอธิปไตยของไทย เพื่อเป็นการป้องปราม นอกจากนี้ ควรใช้โดรนหรือดาวเทียมพันธมิตรถ่ายภาพทางอากาศ แล้วนำภาพถ่ายเหล่านั้นมา "ประจาน" การวางกำลังของกัมพูชาในเวทีนานาชาติ

บทบาทมาเลเซียที่ไม่เป็นคุณ และการร้องเรียนของกัมพูชา ในด้านนานาชาติ กัมพูชาได้ร้องเรียนไปยัง UN, จีน, ฝรั่งเศส, และสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่าไทยกำลังเตรียมการรุก

ส่วน มาเลเซีย (ประธานอาเซียน) ได้มีการแถลงการณ์ที่ถูกมองว่า ไม่เป็นคุณกับไทย โดยเหมาว่าไทยทำผิดเท่ากับกัมพูชา และมีการโทรศัพท์มากดดันให้ไทย "เพลา ๆ มือลง" ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า มาเลเซียกำลังใช้เวทีนี้ยกระดับตนเองเป็นผู้นำอาเซียน และควรเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการส่งทหารติดอาวุธเข้ามาในพื้นที่โดยตรง

ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นนี้ ชี้ให้เห็นว่า แม้ไทยจะยังยึดแนวทางประนีประนอม แต่กัมพูชากลับสร้างเรื่องเพิ่มขึ้นทุกวัน ดังนั้น การประกอบทีมงานด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจอย่างมีเอกภาพ และการประกาศนโยบายเชิงรุกอย่างชัดเจน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างเร่งด่วนก่อนที่จะถึงกำหนดเส้นตายที่รัฐบาลประกาศไว้