เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำบริเวณคลอง 13 และคลองหกวาสายล่าง จังหวัดปทุมธานี เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพื้นที่กรุงเทพมหานคร จากการตรวจสอบและการหารือกับกรมชลประทาน สรุปได้ว่า สถานการณ์น้ำด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ ยังคงอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวัง แต่ยังไม่หนักเท่ากับสถานการณ์ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผู้ว่าฯ ชัชชาติยืนยันว่าสถานการณ์น้ำในกรุงเทพฯ ขณะนี้ยังไม่น่าเป็นห่วง
การบริหารจัดการน้ำในปัจจุบันมีการผันน้ำจากเขื่อนป่าสักฯ ไปยังเขื่อนพระราม 6 เพื่อระบายออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนน้ำอีกส่วนจะระบายมาทางคลองระพีพัฒน์ในปริมาณที่ไม่มากนัก เนื่องจากบริเวณนี้เป็นแหล่งชุมชน น้ำจากแม่น้ำป่าสักจะระบายผ่านมาทางคลองระพีพัฒน์ ซึ่งเชื่อมต่อกับคลอง 13 หากมีปริมาณน้ำมากอาจส่งผลกระทบต่อกรุงเทพมหานครได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคลองระพีพัฒน์มีศักยภาพในการระบายน้ำอยู่ที่ 80 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วินาที) แต่ขณะนี้ระบายอยู่ที่ 47 ลบ.ม./วินาที
ปริมาณน้ำส่วนใหญ่จะถูกผันออกไปทางคลองรังสิต เพื่อระบายออกสู่แม่น้ำนครนายก และไปรวมกับแม่น้ำปราจีนบุรีและแม่น้ำบางปะกง บริเวณคลอง 19 โดยจะมีน้ำประมาณ 17-18 ลบ.ม. ที่ไหลลงคลอง 13 ซึ่งถือเป็นปริมาณน้ำที่ไม่มากนัก เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเหนือมารวมกับน้ำฝนในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งอาจระบายไม่ทัน ทั้งนี้ หากมีน้ำเหนือไหลลงมาจำนวนมาก น้ำจะผ่านคลองหกวาสายล่าง คลอง 13 และต้องระบายออกสู่คลองแสนแสบและคลองประเวศฯ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ก่อนที่จะสูบออกคลองพระโขนงลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งน้ำเหนือดังกล่าวจะกระทบกับพื้นที่ลาดกระบังโดยตรง
ในส่วนของสถานการณ์ฝนในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังค่อนข้างน้อย แต่สำนักการระบายน้ำได้ดำเนินการพร่องน้ำในคลองหลักทั้งหมดแล้วเพื่อเตรียมรับมือฝน คาดการณ์ว่าจะมีฝนมากขึ้นในช่วงวันที่ 25 - 26 กันยายนนี้ สำหรับปริมาณน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาปัจจุบันระบายอยู่ที่ 2,200 ลบ.ม./วินาที ขณะที่ระดับวิกฤตของกรุงเทพฯ อยู่ที่ 3,500 ลบ.ม./วินาที นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังได้มีการวางกระสอบทรายป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยาตามจุดต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วกว่า 190,000 กระสอบ
สิ่งที่น่าเป็นห่วงและต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือพายุที่อาจมีเข้ามาเติมปริมาณน้ำในเขื่อนต่าง ๆ ทำให้ต้องระบายน้ำเพิ่ม โดยเฉพาะเขื่อนป่าสักฯ มีความจุน้ำไม่มาก หากมีพายุฝนเข้ามาอาจทำให้น้ำเต็มความจุเร็วและจำเป็นต้องเร่งระบายออก ซึ่ง กทม. ยังต้องเฝ้าระวังน้ำที่อาจระบายมาจากเขื่อนป่าสักฯ ทางด้านคลองระพีพัฒน์เพิ่มมากขึ้นหากมีความจำเป็น
นายชัชชาติ กล่าวว่า การติดตามสถานการณ์ในวันนี้ยืนยันได้ว่าสถานการณ์น้ำในกรุงเทพฯ ยังไม่น่าเป็นห่วงเหมือนกับปี 2554 อย่างไรก็ตาม กทม. ยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปอีกประมาณ 40 วันก่อนจะหมดฤดูฝน และขอขอบคุณกรมชลประทานที่ช่วยบริหารจัดการน้ำเป็นอย่างดี