‘ณัฐพงษ์’ แกนนำ ปชน.ยื่นร่างแก้ รธน.หมวด 15/1 ปลดล็อกเลือก กมธ.ยกร่างฯ-สภาที่ปรึกษา เปิดทางร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ยันไม่ขัดคำวินิจฉัยศาล รธน. จี้ สส.-สว.รับร่างไปคุยในวาระ 2-3

เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2568 เวลา 11.00 น. ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรค ปชน. พร้อมด้วยแกนนำพรรค ปชน. แถลงข่าวกรณียื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ฉบับพรรค ปชน. ต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา

โดยนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ในฐานะหัวหน้าพรรค ปชน.ต้องการพูดถึงรายละเอียด และการดำเนินงานผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 เป็นขั้นตอนแรกที่ทำให้เกิดการเดินหน้า นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ ทำประชามติรอบแรก คือทำประชามติครั้งที่ 1 และ 2 พร้อมกัน ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เดินหน้าสู่การเลือกตั้งครั้งหน้า กรอบการยุบสภาฯภายใน 4 เดือน อาจอยู่ช่วงปลาย มี.ค. 2569

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ในปลายปี 2567 พรรค ปชน.เคยยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 มาแล้ว อยู่ในวาระประชุมของสภาฯ โดยเสนอ สสร.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด 200 คน มาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าอาจไม่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยดังกล่าว อาจปิดประตูผู้ร่างรัฐธรรมนูญจากการเลือกตั้งของประชาชน หรือยึดโยงกับประชาชน เรายืนยันว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีปัญหา ทั้งการตอบเกินคำถาม และเนื้อหาสาระ เรายืนยันว่าอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของชาวไทยทุกคน

“อย่างไรก็ตามเพื่อให้บรรลุข้อเสนอทุกฝ่าย และทำให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เดินหน้าต่อได้ พรรค ปชน. ได้ยกร่างหมวด 15/1 มายื่นต่อประธานรัฐสภาโดยตรง เรายังคงกลไกที่มาของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ ยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด และไม่เสี่ยงขัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง” นายณัฐพงษ์ กล่าว

หัวหน้าพรรค ปชน. กล่าวว่า สำหรับเนื้อหาแก้ไขรัฐธรรมนูญ สอดคล้องกับที่เคยยื่นเสนอในสัปดาห์ที่ผ่านมา มี 2 กลไก คือ 1.คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน เบื้องต้นมาจากการเลือกของประชาชน 70 คน ด้วยระบบบัญชีรายชื่อ คือให้คณะผู้ยกร่างจัดตั้งมาเป็นทีม คล้าย ๆ ระบบพรรคการเมืองที่เสนอ สส.บัญชีรายชื่อ ต่อ 1 ทีมไม่เกิน 70 คน ใช้เขตเลือกตั้งประเทศ มาคำนวณ เพื่อจะหาสัดส่วนแต่ละทีมจะได้ผู้ยกร่างเสนอเข้าสู่การพิจารณาต่อสภาฯไม่เกิน 70 คน หลังจากนั้นเป็นหน้าที่สภาฯเลือกให้เหลือไม่เกิน 35 คน โดยให้ สส. และ สว. มีสิทธิเข้าชื่อ 20 คน เสนอผู้มาเป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ 1 คน นั่นคือคำนวณด้วยสัดส่วนว่า ถ้ามีสมาชิกรัฐสภา 700 คน หาร 20 คน เสนอ 1 ชื่อ จะได้ 35 คนพอดี

ส่วนสภาที่ปรึกษายกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 100 คน ส่วนนี้มีหน้าที่รับฟังความเห็น และสะท้อนข้อคิดเห็นต่าง ๆ ต่อ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ และต้องทำงานใกล้ชิด ที่มาจะมาจากระบบเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ครอบคลุมทุกจังหวัด จังหวัดละ 1-5 คน โดยกำหนดระยะเวลาจัดทำ รธน.ใหม่ไว้ที่ 270 วัน หรือประมาณ 9 เดือน ให้กลไกทั้ง 2 ส่วนทำงานใกล้ชิดตลอดเวลา และรับฟังความเห็นจากประชาชนรอบด้านมากที่สุด

นอกจากนี้ เมื่อมีการยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ต้องเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อรัฐสภา หากสภาฯให้ความเห็นชอบ ให้นำร่างดังกล่าวจัดทำประชามติสอบถามความเห็นของประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่ต่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จากการยกร่างของ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญต่อไป แต่ถ้าสภาฯไม่เห็นชอบ ให้ร่างดังกล่าวตกไป และต้องมีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ตามกลไกข้างต้น

นายณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน การทำงานของ กมธ. และสภาที่ปรึกษา ไม่ใช่ยกร่างแค่รัฐธรรมนูญใหม่ แต่ทำหน้าที่พิจารณากฎหมายลูก และบัญญัติให้บุคคลที่ทำหน้าที่ 2 คณะดังกล่าว ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในช่วงแรกหลังจบภารกิจ เช่น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ มีกรอบระยะเวลา 3 ปี ส่วนสภาที่ปรึกษาฯ กรอบเวลา 2 ปีด้วยกัน

“สิ่งที่พรรค ปชน.เรียกร้องต่อจากนี้ เพื่อให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่เดินหน้า คือส่งข้อเรียกร้องไปยังพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย อยากให้ 2 พรรคยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 ภายในสัปดาห์นี้ตามที่ได้ประกาศไว้ และควรระบุรายละเอียดแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 นี้ ให้มีที่มาของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด และไม่ขัดแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ขอให้ สส. และ สว.ทุกคน เห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 15/1 ของทุกฝ่าย เพื่อเปิดประตูไปคุยในชั้น กมธ.ในวาระ 2 และ 3 และขอให้ประธานรัฐสภา เปิดประชุมร่วมกันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 โดยเร็ว” นายณัฐพงษ์ กล่าว

หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าวอีกว่า นอกจากนี้อยากส่งข้อเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ให้เดินสายทำความเข้าใจกับสมาชิกทุกคน เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ ภายในกรอบและเงื่อนไขที่กำหนดกันใน MOA ไทม์ไลน์หลังจากนี้อย่างที่บอกแล้วว่า ทุกพรรคควรต้องส่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญภายในสัปดาห์นี้ อย่างช้าสุดต้นเดือน ต.ค.นี้ จะได้เริ่มพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระแรก และเดินหน้าแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 2-3 ให้เสร็จใน ต.ค. เดินหน้ายุบสภาฯช่วงปลาย ม.ค. 2569 และ ครม.มีมติจัดทำประชามติ พร้อมเลือกตั้งช่วงปลายเดือน มี.ค. 2569 ตามกรอบเวลาใน MOA

เมื่อถามถึงแหล่งที่มาของงบประมาณในการใช้เลือก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ สภาที่ปรึกษาฯ และการทำประชามติ จะมาจากที่ใด และใช้งบเท่าไหร่บ้างนั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ส่วนงบประมาณ เป็นอำนาจฝ่ายบริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้กรอบงบประมาณที่มีอยู่ สามารถเดินหน้านำไปสู่ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ และทำประชามติในอนาคตได้ อย่างไรก็ดีข้อเสนอที่จัดทำให้มีประชามติรอบแรกพร้อมกับการเลือกตั้ง เพื่อประหยัดงบประมาณ และเกิดความรณรงค์ให้ประชาชนตื่นตัวกับการเลือกตั้ง เรื่องงบประมาณไม่น่าเป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ฝ่ายบริหารน่าจะบริหารจัดการได้

เมื่อถามถึงความคืบหน้าของพรรคการเมืองที่จะยื่นเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 นั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สิ่งที่ทุกพรรคต้องทำคือ ยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15/1 ภายในสัปดาห์นี้ คงไม่คิดว่าเป็นอุปสรรค จากที่ได้รับทราบจากนายพริษฐ์ ทุกพรรคยังเดินหน้าในส่วนนี้อยู่

ขณะที่นายพริษฐ์ กล่าวเสริมในส่วนนี้ว่า จากการพูดคุยกับ 2 พรรค โดยพรรคเพื่อไทย เหมือนที่ประกาศผ่านสาธารณะ ส่วนพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้ส่งตัวแทนมาร่วมประชุม และได้รับแจ้งนอกรอบจากนายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองหัวหน้าคณะทำงานฯ มีการจัดทำร่างแก้ไขหมวด 15/1 ไว้แล้ว และจะยื่นสัปดาห์นี้

“อยากย้ำประเด็นข้อเรียกร้องเราต่อ 2 พรรคคือ 1.ยื่นร่างในสัปดาห์นี้ 2.เนื้อหาสาระของร่าง อยากให้จัดทำ สสร.ยึดโยงประชาชนมากสุด ไปถกเถียงใน กมธ.วาระ 2-3 ได้ แม้ สสร.จากการเลือกตั้งโดยตรงอาจถูกมองว่าขัดคำวินิจฉัยศาล แต่ถ้าอยากให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด ให้ใช้หลักตรงนั้น ออกแบบเนื้อหา” นายพริษฐ์ กล่าว

นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า ตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ตั้งแต่ตนและเพื่อนสมาชิกทำหน้าที่ สส. ตนว่าเราพยายามอย่างมากในการคุยกับทุกฝ่าย ในการจัดทำรัฐธรรมนูญสำเร็จ ความจริงก่อนหน้านี้ตอนเรายื่นร่างรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 เข้าสู่สภาฯ ตอนนั้นไม่ได้มีโอกาสเสนอญัตติ แต่นำไปสู่สภาฯล่ม และยื่นเรื่องศาลรัฐธรรมนูญไปก่อน การประชุมสภาฯวันดังกล่าว ตนได้เดินสายพูดคุยกับ สส. และ สว.หลายกลุ่มเพื่อทำความเข้าใจ เราพร้อมคุยกับทุกฝ่ายมากที่สุดให้เรื่องนี้สำเร็จ และบทบาทสำคัญของนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาล เมื่อการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ เป็นนโยบายหลักตาม MOA อยากเห็นนายกฯ แสดงบทบาทความเป็นผู้นำ พูดคุยกับ สส. และ สว.เพื่อให้วาระนี้ประสบความสำเร็จได้ใน 4 เดือนข้างหน้า

“ณ เวลานี้ยังไม่เห็นท่าทีชัดเจน เราก็ใช้เวทีนี้เรียกร้อง ในการอภิปรายแถลงนโยบาย ถ้ายังไม่เห็นท่าทีจริงจังตรงนี้ ในการเดินสายพูดคุยกับ สส. และ สว. อาจนำประเด็นนี้อภิปรายต่อนายกฯโดยตรง ในวันที่ 29-30 ก.ย.นี้” นายพริษฐ์ กล่าว