วันที่ 22 ก.ย.68 สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ในกรณีที่มีความคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงิน (Net Errors and Omissions: NEO) สูงขึ้นอย่างน่าจับตาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงกระแสเงินที่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้จำนวนมหาศาล ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมายอมรับว่าเงินส่วนนี้อาจเกี่ยวข้องกับเงินสีเทา และกำลังประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง

ประเด็นสำคัญที่ควรจับตามองจากข้อมูลที่ได้รับมา มีดังนี้

ช่องทางการไหลเข้าของเงินที่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ โดยแหล่งข่าวจากสำนักงาน ปปง. ได้ให้ข้อมูลว่าการตรวจสอบเบื้องต้นพบช่องทางการไหลเข้าของเงินที่น่าสงสัย 2 ช่องทางหลัก คือ เงินสดผ่านด่านชายแดน มีการนำเข้าเงินดอลลาร์สหรัฐในรูปแบบที่เรียกว่า "กองทัพมด" เพื่อฟอกเงิน ซึ่งชัดเจนว่าเป็นเงินผิดกฎหมายหรือเงินสีเทาที่เข้ามาทางด่านชายแดน และ คริปโทเคอร์เรนซีและทองคำ มีการใช้เงินดิจิทัลเพื่อซื้อทองคำในประเทศไทย และส่งออกทองคำเหล่านั้นไปต่างประเทศ ซึ่งอาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งของการฟอกเงิน

และมีการตั้งข้อสังเกตถึงความท้าทายในการจัดการปัญหานี้ โดยเฉพาะในประเด็น การบังคับใช้กฎหมาย:มีการตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าหน้าที่ที่ด่านชายแดนอาจขาดความเข้มงวดในการตรวจสอบ ส่งผลให้เกิดการนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายและสูญเสียรายได้จากภาษี นอกจากนี้ยังขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การกำกับดูแลเงินดิจิทัล แหล่งข่าวเสนอว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ควรเข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินโดยตรง

ส่วนมาตรการที่ต้องดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหานี้ มีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างจริงจังในหลายด้าน เช่น เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ: โดยเฉพาะที่ด่านชายแดน เพื่อป้องกันการไหลเข้าของเงินผิดกฎหมาย ประสานงานระหว่างหน่วยงาน: ธปท., ปปง., และ ก.ล.ต. ควรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและบูรณาการ เพื่อติดตามและระบุแหล่งที่มาของเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: โดยเฉพาะกฎหมายที่ควบคุมการฟอกเงินและกฎหมายที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลเงินดิจิทัลอย่างเคร่งครัด