เมื่อศึกใหญ่ระหว่าง "อาร์เซน่อล" กับ "แมนเชสเตอร์ ซิตี้" จบลงด้วยผลเสมอ 1-1 ที่สนามเอมิเรตส์ สเตเดียม เมื่อคืนวันที่ 21 ก.ย.68 ที่ผ่านมา มันไม่ใช่แค่การแบ่งแต้มธรรมดา แต่คือเกมที่เผยความจริงบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับทั้งสองทีม และสะท้อนภาพรวมของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ที่เข้มข้นกว่าเดิม ฃ
แมตช์นี้จบลงด้วยประตูสุดดราม่าในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ จากการยิงของ "กาเบรียล มาร์ติเนลลี" ที่ส่งบอลข้ามหัว "จานลุยจิ ดอนนารุมม่า" เข้าไปซุกก้นตาข่าย ทำให้เสียงเฮของกองเชียร์ปืนใหญ่ดังกึกก้อง มันคือสัญลักษณ์ของความยืดหยุ่นและจิตวิญญาณนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ทีมของ "มิเกล อาร์เตต้า" ยังคงต้องใช้เพื่อไล่ล่าความสำเร็จในพรีเมียร์ลีกต่อไป
แม้แต้มเดียวนี้จะไม่ได้ช่วยให้ "อาร์เซน่อล" ขึ้นเป็นจ่าฝูง แต่ก็เพียงพอที่จะรักษาระยะห่างจากคู่แข่งอย่าง "แมนฯซิตี้" ไว้ได้
อย่างไรก็ตาม หากมองในภาพรวมแล้ว ผู้ชนะที่แท้จริงของคู่นี้กลับเป็น "ลิเวอร์พูล" ซึ่งยังคงนำเป็นจ่าฝูงอย่างแข็งแกร่ง ด้วยผลงานชนะร้อยเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่เปิดฤดูกาล และปัจจุบันทิ้งห่างทั้งอาร์เซน่อลและแมนฯซิตี้ไปแล้วถึง 5 คะแนนเต็ม ทำให้แฟนบอล "เดอะ ค็อป" สามารถยิ้มออกได้อย่างสบายใจ
ทั้งสองทีมยังคงเจอปัญหาในการออกสตาร์ทของฤดูกาล อาร์เซน่อล เก็บได้เพียง 1 แต้มจาก 6 แต้มเต็มในการเจอกับคู่แข่งโดยตรงอย่าง ลิเวอร์พูล
ขณะที่ แมนฯซิตี้ มีผลงานน่าผิดหวังยิ่งกว่า พวกเขาเก็บได้เพียง 7 แต้มจาก 5 นัดแรก ซึ่งถือเป็นการออกสตาร์ทในพรีเมียร์ลีกที่ย่ำแย่ที่สุดของสโมสรนับตั้งแต่ฤดูกาล 2006/07 และหากดูเฉพาะฟอร์มการเล่นในเกมล่าสุดแล้ว อาจพูดได้ว่าพวกเขาดูเหมือนกำลังอ่อนแรงลง
แต่ในความเป็นจริง ฟอร์มโดยรวมของ แมนฯซิตี้ ไม่ได้แย่ไปกว่าปีที่แล้วเลย ความแตกต่างอยู่ที่การตัดสินใจของ "เป๊ป กวาร์ดิโอลา" ที่เลือกใช้กลยุทธ์ "แอนตี้ฟุตบอล" ที่เน้นการตั้งรับลึกคล้ายกับแนวทางของ "โชเซ่ มูรินโญ่" ซึ่งเป็นปรัชญาที่เขาไม่เคยใช้มาก่อนในอาชีพผู้จัดการทีม การปรับเปลี่ยนนี้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนที่ได้ดูเกมนี้
"เป๊ป กวาร์ดิโอลา" ปรับให้ทีมถอยลึก เน้นการตั้งรับอย่างเหนียวแน่น และใช้การพักบอลจาก "เออร์ลิง ฮาลันด์" และการเลี้ยงสวนกลับของ "เฌเรมี โดคู" เป็นอาวุธหลักในการโต้กลับ
และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือการที่เขาเปลี่ยนมาใช้กองหลังห้าคนในช่วง 20 นาทีสุดท้ายของเกม เพื่อป้องกันผลชนะที่อยู่ในมือ ซึ่งเป็นแท็กติกที่เคยเป็นจุดเด่นของมูรินโญ่ และการที่กุนซือชาวสเปนใช้แท็กติกนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบก็เหมือนเป็นการเผยความเป็น "มูรินโญ่ในตัวเขา" ออกมาอย่างเต็มรูปแบบ
สถิติจากเกมนี้ยืนยันแนวทางดังกล่าวได้อย่างชัดเจน แมนฯซิตี้ ครองบอลได้เพียง 32% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดตลอด 601 นัดของ กวาร์ดิโอลา ในลีกสูงสุด และพวกเขามีโอกาสสัมผัสบอลในเขตโทษคู่แข่งเพียง 8 ครั้ง ซึ่งเป็นสถิติที่ต่ำที่สุดในพรีเมียร์ลีกภายใต้การคุมทีมของเขา แม้แนวรับของซิตี้จะดูเหมือนเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวจากการบุกขึ้นสูง ก็เปิดช่องให้อาร์เซน่อลตีเสมอได้สำเร็จ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เป๊ปคงผิดหวังไม่น้อย เพราะหากเขาสั่งให้ลูกทีมถอยลงมาอีกเพียงไม่กี่หลา พวกเขาอาจคว้าชัยชนะกลับบ้านไปแล้ว
ในส่วนของ "มิเกล อาร์เตต้า" การไม่แพ้ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขา เพราะมันเป็นการแสดงให้เห็นว่าทีมยังมีความแข็งแกร่งหลังจากความพ่ายแพ้ที่แอนฟิลด์ในนัดก่อนหน้านี้ การปรับแท็กติกให้ใช้กองกลางสามคนเพื่อรับมือกับความดุดันของแมนฯซิตี้ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง แม้ว่าในบางช่วงจะถูกวิจารณ์เรื่องความอนุรักษ์นิยมในเกมรุกก็ตาม การเปลี่ยนตัวผู้เล่นก็กลายเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญในเกมนี้
การส่ง "เอเบเรชี เอเซ่" ลงสนามในครึ่งหลังแทน "มิเกล เมริโน" กลายเป็นหัวใจสำคัญที่เปลี่ยนเกม เอเซ่ ไม่เพียงแต่สามารถทำแอสซิสต์ให้มาร์ติเนลลีปิดท้ายเกมได้ แต่ยังพิสูจน์ให้เห็นว่าเขามีศักยภาพในการเป็นตัวแทนของ "มาร์ติน โอเดการ์ด" ได้ในบางจังหวะและในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า อาร์เซน่อล ในฤดูกาลนี้แตกต่างจากปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง เพราะพวกเขามีผู้เล่นสำรองที่มีคุณภาพและสามารถเข้ามาเปลี่ยนเกมได้จริง ซึ่งต่างจากฤดูกาลที่ผ่านมาที่ทีมขาดความลึกในขุมกำลังอย่างเห็นได้ชัด และแม้ว่าการไล่ล่า ลิเวอร์พูล จะยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ แต่ปืนใหญ่ก็มีขุมกำลังที่จะสู้ต่อไปได้อย่างเต็มที่
ในอีกด้านหนึ่ง แมนฯซิตี้ แม้จะโชว์เกมรับที่เหนียวแน่นที่สุดนับตั้งแต่ เป๊ป เข้ามาคุมทีม แต่การยอมถอยหลังมากเกินไปก็ทำให้พวกเขาเสียพื้นที่ความดุดันที่เป็นเอกลักษณ์ หาก กวาร์ดิโอลา ยังคงต้องเล่นเกมรับแบบนี้ต่อไป อาจสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของทีมในฤดูกาลนี้ที่ขาดความมั่นใจในเกมรุกได้ การเล่นในสไตล์ที่ถอยลงไปตั้งรับอาจเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณการบุกแหลกที่เคยเป็นหัวใจสำคัญของทีมไปได้เช่นกัน
ดังนั้น เกมนี้จึงไม่ใช่แค่การแบ่งแต้มธรรมดา แต่คือการเปิดโปงความจริงใหม่ของทั้งสองทีมอย่างชัดเจน อาร์เซน่อล ได้ความมั่นใจกลับคืนมาพร้อมกับขุมกำลังสำรองที่แข็งแกร่งขึ้น ส่วน แมนฯซิตี้ ก็ได้เผยให้เห็นด้านที่ไม่คุ้นตาของ กวาร์ดิโอลา ที่ยอมถอยหลังเพื่อผลการแข่งขัน และทั้งหมดนี้ทำให้พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2024/25 เริ่มต้นขึ้นอย่างดุเดือดตั้งแต่ต้นทาง โดยมี ลิเวอร์พูล คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่ด้านบนของตารางอย่างสบายใจ และเป็นทีมที่น่าจับตามองว่าจะมีใครสามารถโค่นพวกเขาลงได้หรือไม่
#อาร์เซน่อล #แมนเชสเตอร์ซิตี้ #อาเซน่อลพบแมนซิตี้ #พรีเมียร์ลีก #เป๊ปกวาร์ดิโอลา #โชเซ่มูรินโญ่ #ลิเวอร์พูล #ฟุตบอลต่างประเทศ #วิเคราะห์บอล #ข่าวฟุตบอล #อาร์เตต้า #กาเบรียลมาร์ติเนลลี #ฮาลันด์ #เอเบเรชีเอเซ่ #ฟุตบอล2024 #PremierLeague #Arsenal #ManCity #Liverpool #PepGuardiola #MikelArteta