วันที่ 21 กันยายน 2568 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยผลการประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 68 โดยที่ประชุมได้ประเมินสถานการณ์และมีมติสั่งปรับแผนบริหารจัดการน้ำในเขื่อนสำคัญหลายแห่ง เพื่อเตรียมรับมือแนวโน้มฝนที่จะตกเพิ่มขึ้นอย่างหนักทั่วประเทศระหว่างวันที่ 22 – 30 ก.ย. 68 ซึ่งเป็นผลจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน "มิแทก" (Mitag) ที่กำลังสลายตัว และพายุโซนร้อน "รากาซา" (Ragasa) แม้พายุทั้งสองลูกจะไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่จะส่งผลให้ร่องมรสุมมีกำลังแรงขึ้นและพาดผ่านบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและพื้นที่ชายขอบของประเทศ
ที่ประชุมมีมติสำคัญในการบริหารจัดการน้ำเชิงรุก โดยให้เสนอคณะกรรมการลุ่มน้ำชีพิจารณาปรับแผนการระบายน้ำของอ่างเก็บน้ำอุบลรัตน์ จากเดิมระบายน้ำอัตราไม่เกิน 25 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) ต่อวัน เป็นระบายน้ำอัตราไม่เกิน 35 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อให้การบริหารจัดการมีความประสิทธิภาพมากขึ้น โดยให้ดำเนินการแบบขั้นบันได ซึ่งจะต้องมีการประเมินผลกระทบด้านท้ายน้ำอย่างต่อเนื่อง และสอดรับกับสถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำในพื้นที่
ขณะที่กรมชลประทานปรับลดการระบายน้ำของอ่างเก็บน้ำลำปาว ในช่วงเดือน ต.ค. 68 ซึ่งปัจจุบันได้ระบายน้ำในอัตราสูงสุด 13 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อช่วยชะลอมวลน้ำไม่ให้ไหลไปรวมกันที่ จ.อุบลราชธานีในช่วงเวลาวิกฤต และปรับแผนเพิ่มการระบายน้ำอ่างเก็บน้ำห้วยหลวงให้เต็มศักยภาพโดยไม่เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ และเป็นการเพิ่มพื้นที่เก็บกักน้ำรองรับปริมาณฝนในช่วงถัดไป และเร่งติดตั้งเครื่องมือช่วยเร่งระบายน้ำ (กาลักน้ำ) พร้อมปรับแผนการระบายน้ำอ่างเก็บน้ำน้ำอูน โดยพิจารณาจากศักยภาพการระบายน้ำของแม่น้ำสงคราม ลำน้ำอูน ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายน้ำ รวมถึงเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่คอขวดท้ายหนองหารที่ไม่สามารถระบายน้ำได้เต็มศักยภาพ และติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มที่ประตูระบายน้ำหนองบึง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ
โดยให้ทุกหน่วยงานเร่งระบายน้ำให้ออกจากพื้นที่ให้ได้มากที่สุดในช่วงที่ปริมาณฝนและปริมาณน้ำในแต่ละพื้นที่ยังไม่มาก ประกอบกับการคาดการณ์ว่าระดับน้ำในแม่น้ำโขงยังคงต่ำกว่าตลิ่ง และให้บริหารจัดการสอดรับกับสถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
สำหรับสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ ณ วันที่ 21 ก.ย. 68 เวลา 07.00 น. พบว่าปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศอยู่ที่ 77% ของความจุเก็บกัก (62,030 ล้าน ลบ.ม.) เป็นปริมาณน้ำใช้การได้ 65% (37,909 ล้าน ลบ.ม.) ส่วนปริมาณฝนสะสมสูงสุดในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบที่ จ.เชียงใหม่ 85 มม. และ จ.อุดรธานี 61 มม. โดยสภาพอากาศวันนี้ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก จันทบุรี และตราด ซึ่งคาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 22 – 26 ก.ย. 68 ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น จะส่งผลให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและตกหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคตะวันออกอาจมีฝนตกหนักมาก
ด้านสถานการณ์ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา เมื่อเวลา 06.00 น. สถานี C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,202 ลบ.ม./วินาที แนวโน้มลดลง ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,200 ลบ.ม./วินาที แนวโน้มทรงตัว ซึ่งกรมชลประทานกำลังบริหารจัดการโดยหน่วงน้ำไว้เหนือเขื่อนและรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งสองฝั่งเพื่อลดผลกระทบ อย่างไรก็ตาม พื้นที่นอกคันกั้นน้ำท้ายเขื่อนใน จ.อ่างทอง จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.สิงห์บุรี ยังคงได้รับผลกระทบอยู่ ส่วนกรุงเทพมหานครและปริมณฑล กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าจะมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีฝนตกเล็กน้อยถึงปานกลาง ยังไม่มีรายงานน้ำท่วมขังในถนนสายหลัก