เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่าง พระราชบัญญัติลำไย พ.ศ. .... ในวาระที่ 2 และ 3 ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของประเทศไทยที่มุ่งเน้นการคุ้มครองและพัฒนาพืชเศรษฐกิจลำไยอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางรายได้ให้เกษตรกร ยกระดับคุณภาพการผลิต การตลาด และการส่งออกให้ได้มาตรฐานสากล พร้อมคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม

โดย นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ ส.ส.เชียงใหม่ เขต 9 พรรคกล้าธรรม ในฐานะ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างฯ คนที่ 1 กล่าวว่า พรบ.ฉบับนี้ต้องขอบคุณ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างฯทุกท่าน ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันร่างกฎหมายให้สมบูรณ์รอบด้าน โดยเฉพาะการใส่หลักการคุ้มครองเกษตรกรผู้ปลูกลำไย การเพิ่มนิยามที่ชัดเจน และการกำหนดให้ยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้หน่วยงานรัฐสามารถนำไปใช้อ้างอิงของบประมาณและขับเคลื่อนอย่างจริงจัง

ประโยชน์สำคัญของกฎหมายฉบับนี้
1. เกษตรกรผู้ปลูกลำไยได้รับการคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม
2. มีแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการที่ครอบคลุมการผลิต แปรรูป และการตลาด
3. ส่งเสริมคุณภาพ มาตรฐาน ความปลอดภัย และการส่งออกสู่ตลาดโลก
4. เกษตรกรมีส่วนร่วมโดยตรงผ่านตัวแทนในคณะกรรมการ
5. หน่วยงานของรัฐสามารถใช้อ้างอิงเพื่อของบประมาณและดำเนินการได้ทันที

นายนเรศ กล่าวภายหลังการลงมติว่า “วันนี้ไม่ใช่เพียงชัยชนะของพรรคกล้าธรรม แต่คือชัยชนะของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนลำไยทั้งประเทศ เราผลักดันกฎหมายนี้เพื่อให้ลำไยไทยไม่ใช่แค่พืชเศรษฐกิจ แต่เป็นอนาคตที่มั่นคงของครอบครัวเกษตรกร”

สำหรับ ที่มาของการเสนอร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ลำไย พ.ศ. ... เนื่องจาก “ลำไย” เป็นผลไม้ที่มีการส่งออกเป็นลำดับ 3 ของประเทศไทย แต่เกษตรกรกรผู้ปลูกลำไยกลับมีรายได้ไม่ดี ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนลำไยและผู้ประกอบกิจการลำไย จึงจำเป็นต้องจัดให้มีการทำนโยบายและยุทธศาสตร์ลำไยเป็นเป้าหมายการพัฒนาการผลิตลำไยเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างยั่งยืน โดยในการจัดทำการกำหนดเป้าหมาย ระยะเวลาที่จะบรรลุเป้าหมาย และสาระที่พึงมีในยุทธศาสตร์เกี่ยวกับส่งเสริมและพัฒนากิจการเกี่ยวกับลำไยของประเทศ จึงมีความจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

โดยสาระสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ คือ จะมีการตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ลำไย เพื่อกำหนดทิศทางการดูแลลำไยทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ คณะกรรมการชุดนี้กำหนดให้นายกรัฐมนตรีโดยตำแหน่งจะต้องเป็นประธาน มีภาคเกษตรกร ภาคเอกชน เข้ามาร่วม

ดังนั้น เมื่อมีกฎหมายฉบับนี้ ต่อไปก็จะมีเจ้าภาพในการดูแลลำไยโดยตรง ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีระบบมากยิ่งขึ้น เช่น หากราคาลำไยมีแนวโน้มว่าจะไม่ดี นายกรัฐมนตรี ก็จะสามารถสั่งการในมาตรการเร่งด่วนสำคัญเพื่อดูแลได้โดยตรง เป็นต้น 

ทั้งนี้ หากจะอธิบายง่าย ๆ ถึงความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ คือ คณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาลำไยขึ้นมาคณะหนึ่ง เพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์ลำไย และแผนปฏิบัติการต่างๆ ดูแลตั้งแต่การวิเคราะห์สถานการณ์ ศักยภาพการผลิต  คุณภาพ การขนส่ง การตลาด การแปรรูป การวิจัยและพัฒนา การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมถึงการเผยแพร่ความรู้ เพื่อให้ชาวสวนลำไยและผู้ประกอบกิจการลำไยอยู่ได้อย่างยั่งยืน

ขณะที่ขั้นตอนหลังจากนี้ทางสภาผู้แทนราษฎรจะต้องส่งรายงานการร่างพระราชบัญญัติลำไย พ.ศ. .... ส่งไปให้วุฒิสภา พิจารณาต่อ และหากวุฒิสภาเห็นชอบตามที่สภาผู้แทนได้ส่งรายงานไปก็ดำเนินการส่งประกาศราชกิจจานุเบกษาใช้เป็นกฎหมายต่อไป
.