ลำพังการดำรงสถานะ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” นับเป็นเรื่องยากพอตัวอยู่แล้ว สำหรับ “พรรคภูมิใจไทย” เพราะจากนี้ไป โอกาสเกิด “สภาล่ม” มีสูง เมื่อรัฐบาลไม่สามารถรักษาองค์ประชุมเอาไว้ได้
มิหนำซ้ำยังเจอเงื่อนไขจาก MOA ต้องยุบสภาฯภายใน 4 เดือน ขณะเดียวกันยังต้องเร่งทำนโยบายเรือธงไปพร้อมๆกับการแก้ปัญหา “เร่งด่วน” ทั้งเรื่องปากท้อง ไปจนถึงงานด้านความมั่นคง ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อกองทัพภาคที่ 2 ยังตรวจพบ โดรนเขมรบินป้วนเปี้ยนอยู่ชายแดนไทย
สารพัดปัญหาเหล่านี้ ดูเหมือนว่ายังเป็นเพียง “ส่วนหนึ่ง” เท่านั้นที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ต้องเผชิญ แต่ที่ดูจะหนักหนาสาหัส คือการรับมือกับ “นิติสงคราม” ที่กำลังตั้งเค้า จาก “พรรคเพื่อไทย” และ “สว.สำรอง” ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม “สว.สีน้ำเงิน” ที่เปิดหน้าเคลื่อนไหว ประสานมือไปยังพรรคเพื่อไทย ให้ติดตามเกาะติด คดีฮั้วเลือกสว. ที่มี “แกนนำ” พรรคภูมิใจไทย เข้าไปเกี่ยวข้อง ในระดับ “หัวขบวน” ซึ่งหากผิดจริง โทษอาจไปถึงขั้น “ยุบพรรค” ตามมา
สำหรับคดีฮั้วเลือกสว. ก่อนที่จะมีการ “เปลี่ยนรัฐบาลใหม่” นั้น ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งเข้ามาทำงานร่วมกับ คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนกลางชุดที่ 26 ของสำนักงาน กกต. ใช้เวลารวบรวมหลักฐาน 3-4เดือน โดยได้แจ้งคดี 229 คน ในฐานคดีอั้งยี่และซ่องโจร คดีมีความคืบหน้า 80 เปอร์เซ็นต์
สำหรับคดีฮั้วเลือกสว. ซึ่งส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องคือสว.สายสีน้ำเงิน กำลังถูกจับตาเมื่อ พรรคภูมิใจไทย เข้ามาเป็นรัฐบาล จะมีส่งผลให้คดีมีการเปลี่ยนแปลงตามมาหรือไม่ ซึ่งล่าสุด “สว.สำรอง” บุกสภาฯ เพื่อร้องต่อ พรรคเพื่อไทยให้ช่วยติดตามคดีดังกล่าว
นอกจากคดีฮั้วเลือกสว.ที่ยังเป็นเหมือน “ชนักติดหลัง” พรรคภูมิใจไทยและอนุทิน ไปจนถึง “ทั้งพรรค”แล้ว ปรากฎว่า ยังไม่ทันที่ ครม.ชุดใหม่ จะได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ แต่กลับมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ นั่นคือการใช้ “กฎหมายรัฐธรรมนูญ” ตรวจสอบว่า นายกฯอนุทินไปจนถึง “ว่าที่รัฐมนตรี” ที่กำลังจะได้รับการแต่งตั้งนั้น มีความชอบธรรมหรือไม่ เนื่องจากยังมีบางรายที่มีปัญหา เรื่องคุณสมบัติ โดยเฉพาะในรายของ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม มีชื่อได้เป็นรองนายกฯและรมว.เกษตรและสหกรณ์
กรณีของร.อ.ธรรมนัส แม้ศาลรัฐธรรมนูญ จะได้เคยวินิจฉัยไปแล้วว่าคุณสมบัติไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เมื่อครั้งนั่งรมว.เกษตรฯ สมัยรัฐบาล “บิ๊กตู่” แต่รอบนี้ ประเด็นที่นายกฯอนุทิน จะถูกร้องเสียเอง คือความผิดทางจริยธรรม ตาม ม. 160 (5) ซึ่งแน่นอนว่า เวลานี้ คลื่นลมยังอยู่ในความสงบ แต่เมื่อใดที่มีการประกาศรายชื่อ “รัฐมนตรีใหม่” ออกมา นั่นหมายความว่า “ความผิดสำเร็จแล้ว” จากนั้นการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อฟันอนุทิน ให้พ้นจากตำแหน่งจะมีขึ้นตามมาทันที
ขณะที่ปัญหา “ครม.ใหม่” กำลังจะกลายเป็น “สายล่อฟ้า” ปรากฎว่า “พรรคเพื่อไทย” เตรียมส่ง “นักกฎหมาย” ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน เป็นทนายให้พรรคเพื่อไทยฟ้องร้องนายกฯอนุทิน นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กับ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน รวมถึงสส.ทั้ง 2 พรรคจำนวน 212 คน ยุบพรรค จากกรณีทำข้อตกลงทางการเมือง MOA
แม้ล่าสุด “มือกฎหมาย” ของพรรคเพื่อไทย อย่างชูศักดิ์ ศิรินิล จะออกมาบอกว่ายังไม่ได้ให้ใครไปยื่นร้อง ขอรอดูหน้าตาครม.ใหม่ก่อน ก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่า เรื่องนี้จะยุติลงไป
นิติสงคราม กำลังจะเริ่มบทใหม่ ก่อนที่ ครม.ใหม่ “อนุทิน1” จะปรากฎออกมาด้วยซ้ำ เพราะเวลานี้ หากประมวล คำร้อง สารพัดเรื่องที่ “พรรคเพื่อไทย” ในวันนี้อยู่ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน และ “ฝ่ายแค้น” ในคราวเดียวกัน
กำลังรอวันเอาคืน ด้วย “ข้อกฎหมาย” ตามรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ จ้องล้มรัฐบาล โดยไม่รอ ให้ครบ 4 เดือน แล้วค่อยยุบสภา เสียแล้ว !