เริ่มแล้วการแข่งขันฟุตบอลถ้วยใหญ่ของทวีปยุโรป "ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 2025-26" โดยในฤดูกาลนี้มี "สโมสร" จากพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ ส่งเข้าร่วมศึก 6 สโมสร รวมถึง อาร์เซน่อล และ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ที่ประเดิมสนามเป็นเกมแรกในค่ำคืนวันอังคาร (16 ก.ย.68) ที่ผ่านมา ซึ่งแต่ละเกมมีความน่าสนใจ ดังนี้ 

เริ่มกันที่คู่ของ "แอธเลติก คลับ 0-2 อาร์เซน่อล"

อาร์เซน่อล โชว์แกร่งทั้งประสบการณ์และความนิ่งในเกมยุโรป บุกเก็บชัยชนะอย่างอดทนที่สนามเอสตาดิโอ เด ซาน มาเมส โดยได้สองประตูสำคัญช่วงท้ายเกมจากตัวสำรอง กาเบรียล มาร์ติเนลลี และ เลอันโดร ทรอสซาร์ด ส่งให้ “เดอะกันเนอร์ส” คว้าชัยเหนือตัวแทนจากลาลีก้า ประเทศสเปน เป็นนัดที่ 6 ติดต่อกัน

นี่คือการกลับมาลุยแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกของแอธเลติก คลับ นับตั้งแต่ฤดูกาล 2014/15 และแฟนบอลเจ้าถิ่นก็ได้เห็นการออกสตาร์ตอย่างเร้าใจ สามจังหวะแรกของเกมเป็นของเจ้าบ้านทั้งหมด ขณะที่อาร์เซน่อลพยายามควบคุมสถานการณ์ท่ามกลางบรรยากาศกดดัน

น่าสนใจว่า ไม่มีผู้เล่นตัวจริงของแอธเลติก บิลเบา รายใดเคยสัมผัสเกมแชมเปียนส์ลีกมาก่อน กลายเป็นทีมจากสเปนชุดแรกที่ส่ง 11 ตัวจริงหน้าใหม่ทั้งหมด นับตั้งแต่เรอัล มาดริดปี 1995 ซึ่งประสบการณ์ของอาร์เซน่อลเริ่มเห็นผลเมื่อเกมดำเนินไป โดยค่อยๆ ครองบอลและลดความอันตรายจากเกมสวนกลับ

โนนี มาดูเอเก ยังพิสูจน์ว่าไม่ใช่แค่ตัวสำรองของบูกาโย ซาก้า แต่กลายเป็นตัวป่วนฝั่งซ้ายของเจ้าถิ่นตลอดทั้งเกม จนคู่แข่งต้องเปลี่ยนแบ็กซ้ายออกเพื่อหยุดการทะลวงอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน เอเบเรชี เอเซ กลับเล่นได้เงียบ และการที่อาร์เซน่อลไม่ได้ใช้เขาคู่กับ ริคคาร์โด คาลาฟิโอรี ดูเป็นการพลาดโอกาสสำคัญ

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นนาที 71 เมื่อ มาร์ติเนลลี ถูกส่งลงสนามแทนเอเซ และใช้เวลาเพียง 36 วินาทีในการยิงประตูแรกให้อาร์เซน่อลจากจังหวะโต้กลับสุดคม ถือเป็นประตูที่เร็วที่สุดของตัวสำรองสโมสรในแชมเปียนส์ลีก

หลังจากนั้น มาร์ติเนลลี ไม่หยุดเพียงเท่านั้น เพราะอีก 15 นาทีถัดมา เขาแอสซิสต์คืนให้ทรอสซาร์ดยิงประตูตอกย้ำชัยชนะ 2-0 กลายเป็นครั้งแรกที่สองตัวสำรองช่วยกันสร้างสกอร์ในเกมแชมเปียนส์ลีกของทีม และตอกย้ำคุณภาพการโรเตชันของมิเกล อาร์เตต้า

อาร์เตต้ากล่าวหลังเกมว่า “ผมมีความสุขมาก สนามนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ยอดเยี่ยม เรารู้ว่ามันจะยาก ดังนั้นนักเตะต้องสร้างผลกระทบต่อเกม และทั้งกาบี้กับลีโอก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม”

ชัยชนะนี้ยังทำให้อาร์เซน่อลกลายเป็นทีมแรกที่ชนะสโมสรจากสเปน 6 นัดติดต่อกันในแชมเปียนส์ลีก และเป็นทีมอังกฤษเพียงทีมที่ 3 ที่บุกชนะบิลเบา ต่อจากลิเวอร์พูลในปี 1984 และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปี 2025

ส่วนทางด้าน "สเปอร์ส 1-0 บียาร์เรอัล"

อีกคู่ที่น่าจับตาคือท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ที่เปิดบ้านเฉือนบียาร์เรอัล 1-0 โดยได้ประตูจากความผิดพลาดมหันต์ของผู้รักษาประตู ลุยซ์ จูเนียร์ ในนาทีที่ 3 ส่งให้แฟนบอลเจ้าถิ่นเฮสนั่นตั้งแต่ต้นเกม

แม้จะได้ประตูขึ้นนำเร็ว แต่ทีมของกุนซือใหม่ โทมัส แฟรงค์ ยังไม่สามารถคุมเกมได้เหนียวแน่น และถูกบียาร์เรอัลบุกกดดันอย่างหนักในครึ่งหลัง โดยเฉพาะ นิโกลัส เปเป้ อดีตแข้งอาร์เซน่อล ที่สร้างโอกาสบ่อยครั้งทางฝั่งขวา

สุดท้ายแนวรับของสเปอร์สยังยืนหยัดได้เหนียวแน่น โดยมี มิกกี้ ฟาน เดอ เวน เป็นฮีโร่ในแผงหลัง แย่งบอล 11 ครั้ง เคลียร์บอล 4 ครั้ง และเข้าสกัด 3 ครั้ง มากที่สุดในทีม จนช่วยให้ผู้รักษาประตู กุกลิเอลโม วิคาริโอ แทบไม่ได้ออกแรงเซฟ

แฟรงค์กล่าวหลังเกมว่า “มันไม่ใช่ฟอร์มที่ดีนัก แต่เราสู้ได้และเก็บสามแต้มสำคัญมาได้ จุดที่ต้องพัฒนาคือเกมรุก ส่วนเกมรับถือว่าแข็งแกร่งและมีรากฐานที่ดี”

ชัยชนะครั้งนี้ทำให้สเปอร์สเก็บชัยชนะในฟุตบอลยุโรป 5 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2014 และถือเป็นการเปิดตัวแชมเปียนส์ลีกของแฟรงค์ในฐานะผู้จัดการทีมได้อย่างสวยงาม


#UCL #พรีเมียร์ลีก #อาร์เซน่อล #สเปอร์ส #ChampionsLeague #ข่าวบอล #ผลบอลเมื่อคืน #บียาร์เรอัล #AthleticClub #ข่าวฟุตบอล