ประธานหอการค้าจ.ตราด ชี้ ครม.เศรษฐกิจชุดใหม่ไม่ขี้เหร่ แนะรัฐเร่งเครื่อง "คนละครึ่ง-เปิดด่านชายแดน"กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น หวั่นรบ.อายุไม่ยาว
หลังการฟอร์มรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีระกุล นายกรัฐมนตรี โดยในส่วนครม.ด้านเศรษฐกิจได้ดึงคนนอกที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเอกชนเข้ามาบริหารงานในคณะรัฐมนตรีนั้น
ล่าสุด วันที่ 10 ก.ย.68 นางวิภา สุเนตร ประธานหอการค้าจ.ตราด เปิดเผยว่า รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจที่มองรายชื่อจากที่เป็นข่าวและมีแนวโน้มจะได้รับการโปรดเกล้า ซึ่งจะมาทำหน้าที่ในการดูแลงานด้านเศรษฐกิจของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ว่า "ไม่ขี้เหร่" และน่าจะทำงานร่วมกันได้ดี แต่อย่าลืมว่า การบริหารงานภาครัฐมีความซับซ้อนกว่าภาคเอกชนจึงควรดำเนินการอย่างรอบครอบ และควรเร่งดำเนินโครงการต่างๆที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยเฉพาะ เร่งผลักดันโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เห็นผลเร็วอย่าง "คนละครึ่ง" และพิจารณาเปิดด่านชายแดนในพื้นที่ที่ไม่มีความขัดแย้ง เพื่อให้เกิดการค้าขายระหว่างกัน และไปมาหาสู่กันเหมือนเดิมตอนที่ยังไม่มีการสู้รบ เพื่อประคองเศรษฐกิจในระยะเวลาที่มีจำกัด
“ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ไม่ขี้เหร่นะ มองว่า คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจหลายคนที่ปรากฏตามข่าว ดูดีและมีความเป็นมืออาชีพ แต่ยังคงต้องให้กำลังใจและให้เวลาในการทำงาน เนื่องจากสไตล์การทำงานของภาคเอกชนที่รวดเร็วอาจต้องเจอกับข้อจำกัดด้านกฎระเบียบของระบบราชการซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคในการบริหารงานได้ เพราะการบริหารงานเอกชนกับบริหารประเทศไม่เหมือนกัน นักธุรกิจที่เข้ามาทำงานการเมืองในอดีตมักจะเจ็บตัว เพราะการทำงานในระบบราชการมีขั้นตอนและกฎระเบียบที่ซับซ้อนกว่า แต่หากให้โอกาสและเวลาให้ท่านได้บริหารอย่างเต็มที่ ก็น่าจะเป็นผลดี"ประธานหอการค้าจ.ตราดกล่าว
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่ากังวลคือกรอบเวลาการทำงานของรัฐบาลที่อาจมีเวลาบริหารงานจริงเพียงไม่กี่เดือน ก่อนจะกลายเป็นรัฐบาลรักษาการ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่า "สั้นเกินไป" ที่จะแก้ไขปัญหาสะสมทางเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ นางวิภา กล่าวอีกว่า ภาคเอกชนอยากเห็นการแก้ปัญหาในระยะสั้น และต้องนำกิจกรรมทีทจะกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ซึ่งมีการพูดถึบการดึงโครงการ“คนละครึ่ง”ในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธมาใช้อีกครั้ง ซึ่งโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในความสนใจของประชาชนอย่าง "คนละครึ่ง" ซึ่งยืนยันว่าเป็นมาตรการที่ "กระตุ้นได้จริง" และสามารถช่วยเหลือเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ความกังวลต่อแนวคิดที่จะปรับสัดส่วนการสมทบระหว่างภาครัฐและประชาชนเป็น 60:40 สำหรับผู้ที่เสียภาษี โดยอาจทำให้เกิดความยุ่งยากและสิ้นเปลืองงบประมาณในการพัฒนาระบบแอปพลิเคชันโดยไม่จำเป็น
"บางทีอย่าคิดเยอะเกินไป การทำแอปพลิเคชันใหม่เพื่อรองรับสัดส่วนที่ต่างกันมีค่าใช้จ่ายสูง ไม่คุ้มกับเม็ดเงินที่ให้ประชาชนซึ่งไม่ได้มากมายนัก การใช้ระบบ 50:50 แบบเดิมน่าจะง่ายและรวดเรวที่สุด"นางวิภากล่าวย้ำ
นอกจากนี้ ยังได้ฝากข้อสังเกตไปยังภาครัฐเกี่ยวกับการนำผู้ประกอบการรายย่อยเข้าสู่ระบบภาษีว่า ควรใช้วิธีการจูงใจแทนการข่มขู่ เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการกลัวจนไม่เข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ หอการค้าไทยได้มีการรวบรวมข้อเสนอเร่งด่วน หรือ "ควิกวิน" (Quick Win) จากแต่ละจังหวัดเพื่อนำเสนอต่อรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เช่น การแก้ปัญหาค่าเงินบาทที่กำลังมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ด้วย “ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือการค้าชายแดน โดยเฉพาะการเปิดด่านในพื้นที่ที่ไม่มีปัญหาการสู้รบ เช่น จังหวัดจันทบุรีและตราด ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศกัมพูชา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการขนส่งสินค้าทั้งของไทยและของนักลงทุนต่างชาติที่ใช้ไทยเป็นฐานการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อยากให้มีการพิจารณาเปิดด่านในจุดที่ไม่มีการกระทบกระทั่งกัน เพื่อให้เศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนสามารถเดินหน้าต่อไปได้