การกลับเข้าเรือนจำของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อสมการการเมืองไทยอย่างรุนแรง และส่งผลกระทบโดยตรงต่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งถูกมองว่าเป็น “ฐานการเมือง” ของทักษิณมาตลอดหลายทศวรรษ
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงสถานะทางกฎหมายของอดีตนายกฯ แต่ยังเป็นการกระทบต่อโครงสร้างภายในพรรคและทิศทางการเมืองในระยะยาวอย่างลึกซึ้ง สถานการณ์นี้ทำให้คำว่า “พรรคแตก” กลายเป็นประเด็นร้อนที่นักการเมืองและนักวิเคราะห์ต่างจับตาอย่างใกล้ชิด
“พรรคแตก” ในบริบทนี้ไม่ได้หมายถึงการยุบพรรคหรือการประกาศแยกตัวอย่างเป็นทางการในทันที แต่หมายถึงการสั่นคลอนความเป็นเอกภาพที่เคยมีอยู่ ภายในพรรคเพื่อไทยเต็มไปด้วยกลุ่มการเมืองที่มีผลประโยชน์และฐานอำนาจต่างกัน บารมีของทักษิณในอดีตเปรียบเสมือน “กาวเชื่อม” ที่ทำให้กลุ่มต่าง ๆ อยู่ร่วมกันได้ แม้จะมีความเห็นแตกต่าง
แต่เมื่อทักษิณต้องกลับเข้าเรือนจำ บทบาทในการควบคุมทิศทางพรรคย่อมลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ช่องว่างของอำนาจนี้อาจทำให้ความขัดแย้งภายในที่เคยถูกกดไว้เริ่มปะทุขึ้น
สมาชิกบางส่วนที่ภักดีต่อนายใหญ่ยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์เดิม พยายามรักษาภาพลักษณ์ของทักษิณและพรรคเพื่อไทย แต่ในอีกด้านหนึ่ง มีกลุ่มนักการเมืองที่เริ่มมองความเป็นจริงทางการเมืองมากกว่าอุดมการณ์ มองว่าสถานะของทักษิณในเรือนจำอาจเป็นภาระต่อคะแนนนิยมและการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของพรรค
กลุ่มนี้อาจเริ่มมองหาทางเลือกอื่น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพันธมิตรใหม่ การขยับไปใกล้ขั้วการเมืองอื่น หรือแม้กระทั่งการย้ายพรรคเพื่อความอยู่รอดของตนเองในสนามเลือกตั้ง โดยเฉพาะก่อนหน้านี้มี 8 ส.ส.เพื่อไทย นำโดย ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ ที่ย้ายไปสนับสนุน อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเหตุการณ์นี้สะท้อนการปะทุของ “ภูเขาน้ำแข็ง” ที่ซ่อนอยู่ในพรรคเพื่อไทย
ขณะเดียวกัน โครงสร้างอำนาจภายในพรรคเพื่อไทยก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อ “นายใหญ่” ไม่สามารถกำกับสั่งการได้เต็มที่ จะเปิดโอกาสให้ผู้นำกลุ่มการเมืองรุ่นใหม่และผู้มีอิทธิพลภายในพรรคขยับบทบาทขึ้นมา การแข่งขันแย่งชิงอำนาจภายในจึงมีโอกาสเกิดขึ้นสูง
เมื่อรวมกับแรงกดดันจากภายนอกที่พรรคอาจต้องกลับไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ความจำเป็นที่จะต้องแสดงความเป็นเอกภาพอาจสวนทางกับความจริงที่เกิดขึ้นภายใน นั่นคือ ความแตกแยกที่ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น
ผลกระทบไม่ได้หยุดอยู่ที่โครงสร้างพรรคเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยด้วย การกลับเข้าเรือนจำของทักษิณทำให้ผู้สนับสนุนบางส่วนเริ่มตั้งคำถามกับทิศทางพรรค ขณะที่คู่แข่งทางการเมือง เช่น พรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย หรือพรรคเกิดใหม่ อาจใช้โอกาสนี้ดึงฐานเสียงคนรุ่นใหม่ที่ไม่ผูกพันกับ “นายใหญ่” แบบดั้งเดิม
สถานการณ์นี้ทำให้สมดุลของอำนาจทางการเมืองไทยมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ และนี่คือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งอาจเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของพรรคอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หากพรรคสามารถบริหารจัดการความขัดแย้งภายในและสร้างผู้นำรุ่นใหม่ขึ้นมารับไม้ต่อได้ ก็อาจปรับตัวสู่ยุคใหม่ที่ไม่ยึดติดกับบารมีบุคคล แต่หากล้มเหลวในการรักษาความเป็นเอกภาพ “พรรคแตก” ก็อาจเกิดขึ้นจริงในเชิงพฤติกรรมการเมือง แม้จะไม่ใช่ในเชิงกฎหมาย
และนั่นอาจเปิดทางให้เกิดการจัดระเบียบอำนาจใหม่ทั้งในฝั่งฝ่ายค้านและรัฐบาล ซึ่งจะเปลี่ยนสมการการเมืองไทยในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
#ทักษิณชินวัตร #ทักษิณ #ศาลฎีกา #คำพิพากษาทักษิณ #คดีชั้น14