นักวิจัยคณะเกษตร กำแพงแสน เข้ารับประกาศนียบัตร ในพิธีมอบประกาศนียบัตร แสดงความยินดีแก่นักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยที่ได้รับรางวัลจากเวทีนานาชาติ

ดร.ดวงทิพย์ กันฐา นักวิจัย ชำนาญการ ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร กำแพงแสน เข้ารับประกาศนียบัตร จาก ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในพิธีมอบประกาศนียบัตรแสดงความยินดีแก่นักประดิษฐ์และนักวิจัยไทยที่ได้รับรางวัลจากเวทีนานาชาติ (Internationally Outstanding Inventors Awards Ceremony) ภายในงาน อว.แฟร์ 2025 ซึ่งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดขึ้นเพื่อยกย่องความสำเร็จของผู้ที่ได้นำผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมของประเทศไปคว้ารางวัลระดับโลก สร้างชื่อเสียงและการยอมรับในมาตรฐานฝีมือของคนไทย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ

สำหรับผลงานที่ได้รับรางวัล คือ QBEANS: สารป้องกันและกำจัดด้วงเพื่อเพิ่มผลผลิตเมล็ดกาแฟคุณภาพสูง พัฒนาโดย ดร.ดวงทิพย์ กันฐา นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร กำแพงแสน และคณะ รางวัลที่ได้รับ ได้แก่

1. รางวัลเหรียญเงิน (Silver Medal)
2. รางวัล Special Prize จาก Technical and Vocational Training Cooperation ประเทศซาอุดีอาระเบีย

จุดเด่นของนวัตกรรม QBEANS

QBEANS เป็นสารกำจัดแมลงศัตรูพืชที่พัฒนาด้วยกระบวนการทางกายภาพ ไม่ใช้สารเคมี โดยอาศัยกลไกการเคลื่อนไหวของแมลงเพื่อสร้างบาดแผลที่บริเวณรอยต่อของร่างกาย ทำให้แมลงบาดเจ็บ สูญเสียน้ำ และตายในที่สุด สารออกฤทธิ์หลักคือ ผงแคลเซียมคาร์บอเนตแบบแผ่น ที่ได้จาก การแปรรูปเปลือกหอยแมลงภู่ ด้วยกระบวนการทางความร้อนและทางกล ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

แผ่นแคลเซียมคาร์บอเนตมีลักษณะแบน ขนาด 3-5 ไมโครเมตร หนา 200-400 นาโนเมตร ขอบคม แตกหักง่าย เมื่อสัมผัสกับแมลงจะสร้างบาดแผลและสามารถเกาะติดบนผิวที่มีไขมันของแมลงได้ดี โดยไม่ติดบนเมล็ดกาแฟ ทำให้สามารถกำจัดออกจากเมล็ดได้ง่ายด้วยการเขย่าหรือเป่าลม

โดยมีผลกระทบและความสำคัญ คือการใช้ QBEANS ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเมล็ดกาแฟคุณภาพสูงแบบอินทรีย์ (Organic) โดยไม่พึ่งพาสารเคมี เกษตรกรมีสุขภาพดี ผลผลิตมีมูลค่าสูงขึ้น และผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยจากสารพิษ ส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศการผลิตกาแฟอย่างยั่งยืน (Sustainable ecosystem) โดยผลงานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้สัญญาเลขที่ N83A671168