จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจพาแม่ชาวกัมพูชาเชิญตัวเด็กชายวัย 13 ปี ออกจากโรงเรียนบัวเชดวิทยา ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อผลักดันกลับประเทศกัมพูชา ก่อนที่ทีมสหวิชาชีพจะเข้าประชุมหาทางช่วยเหลือ โดยยึดหลักผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก ล่าสุดมีมติให้ตรวจ DNA เพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์บิดา-บุตร พร้อมทั้งให้การดูแลโดยบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์ระหว่างรอกระบวนการ

ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 ที่ศูนย์ราชการจังหวัดสุรินทร์ นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางช่วยเหลือ โดยเบื้องต้นพบว่าเด็กชายตงเฮง น่าจะเกิดที่ประเทศกัมพูชา มารดาเป็นชาวกัมพูชา ส่วนบิดาอาจเป็นชาวกัมพูชาด้วย แต่เด็กเข้ามาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่อายุ 6 ขวบ และเรียนต่อเนื่องจนปัจจุบันอยู่ชั้นมัธยมศึกษา

ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ระบุว่า แม้ตามกฎหมาย ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จะต้องผลักดันแม่ออกนอกประเทศ แต่เพื่อไม่ให้กระทบสิทธิ์เด็ก จึงมีการขยายเวลาการส่งกลับ และให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) รับดูแลทั้งแม่และลูกไว้ที่บ้านพักเด็ก จนกว่ากระบวนการตรวจ DNA จะเสร็จสิ้น หากผลตรวจตรงกับชายไทยที่อ้างเป็นบิดา เด็กจะสามารถยื่นขอสัญชาติไทยได้ แต่หากไม่ตรง ยังสามารถใช้แนวทางอื่น เช่น การทำเอกสารเข้าเมืองให้ถูกต้อง การจดทะเบียนสมรส หรือการรับบุตรบุญธรรม

ด้านการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการและโรงเรียนบัวเชดวิทยาได้หารือร่วมกับทีมสหวิชาชีพ เพื่อให้เด็กชายตงเฮงยังคงได้รับโอกาสเรียนต่อ โดยจัดการเรียนการสอนในรูปแบบพิเศษและออนไลน์ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสทางการศึกษา

สำหรับค่าใช้จ่ายการตรวจ DNA อยู่ที่ประมาณคนละ 6,000 บาท โดยมีแนวทางจัดหาเงินจาก 3 แหล่ง ได้แก่ กองทุนคุ้มครองเด็ก กองทุนยุติธรรม และเงินบริจาคจากโรงเรียนบัวเชดวิทยา ขณะนี้เด็กและมารดายังได้รับการดูแลชั่วคราวที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์จนกว่ากระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้น