"กัมพูชา" แถลงกล่าวหา "ไทย" รุกราน-ทิ้งระเบิดใส่ เรียกร้องประชาคมโลกประณาม

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 กระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ประณามประเทศไทย โดยกล่าวหาว่าเป็น “การรุกรานทางทหารที่โหดร้ายและผิดกฎหมาย” พร้อมกล่าวโทษว่าไทยละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน ด้วยการโจมตีข้ามพรมแดนซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงเช้า

ในแถลงการณ์ระบุว่า เมื่อเวลา 06.30 น. กองทัพไทยได้เริ่มการรุกรานโดยลอบปีนเข้าสู่บริเวณวัดตาเมือนธม ซึ่งถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พร้อมจัดกำลังประจำการรอบฐานทัพอย่างลับๆ

จากนั้นเวลา 07.04 น. มีการใช้โดรนลาดตระเวน และเวลา 08.30 น. ก็มีกระสุนปืนดังขึ้น ก่อนที่เวลา 08.46 น. กองทัพไทยจะเปิดฉากยิงใส่กองทัพกัมพูชาบริเวณปราสาทตาเมือนธมโดยยังไม่มีการยั่วยุใดๆ แล้วขยายการโจมตีต่อเนื่องไปถึงบริเวณปราสาทตากระเบย (หรือปราสาทตาควาย) และพื้นที่เขาขะเมา

กระทรวงกลาโหมกัมพูชาระบุเพิ่มเติมว่า พื้นที่ปะทะได้ขยายไปถึงมอมเบย จังหวัดพระวิหาร และมีรายงานว่าเครื่องบินรบของไทยได้ทิ้งระเบิด 2 ลูกลงบนถนนใกล้วัดแก้วสิกขคีรีวรราม ซึ่งตั้งอยู่ในเขตชายแดนที่กัมพูชาครอบครอง

ต่อมา เวลา 08.47 น. กองทัพกัมพูชาได้ยิงตอบโต้ โดยอ้างว่าเป็นการใช้สิทธิป้องกันตนเองตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ

กระทรวงกลาโหมกัมพูชากล่าวหาว่าไทยได้จัดส่งทหารและใช้อาวุธหนักเกินจำเป็น หวังเข้ายึดดินแดนของกัมพูชา พร้อมระบุว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ หลักการของอาเซียน และกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน

มาลี โสเชตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา กล่าวในแถลงการณ์ว่า “การกระทำที่ผิดกฎหมายและขาดความรับผิดชอบเหล่านี้ ไม่เพียงเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสันติภาพในภูมิภาค แต่ยังบ่อนทำลายกฎระเบียบระหว่างประเทศ”

พร้อมเรียกร้องให้ประชาคมโลกออกมาประณามการกระทำของไทยอย่างหนักแน่น และให้ไทยแสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการละเมิดโดยไม่ไตร่ตรองนี้

ขณะเดียวกัน กัมพูชายังแสดงจุดยืนว่า พร้อมแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีผ่านกระบวนการทางกฎหมายและการทูต แต่เตือนว่า กองทัพมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการปกป้องอธิปไตย “ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม”

โฆษกโสเชตากล่าวย้ำว่า “เราขอยืนยันในสิทธิอธิปไตยของเราในการปกป้องดินแดนและประชาชนของเราอย่างถึงที่สุด และจะไม่ยอมให้เกิดการข่มขู่หรือบีบบังคับในทุกรูปแบบ”

ท้ายที่สุด กระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้เรียกร้องให้นักข่าวและผู้ใช้โซเชียลมีเดียระงับการเผยแพร่ข้อมูล รูปภาพ หรือวิดีโอที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความเคลื่อนไหวทางทหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดความมั่นคงของชาติ