คอการเมืองยังคงอยู่ในโหมดของการร่วมลุ้นระทึก “ชะตากรรม” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีว่าที่สุดแล้ว จะสู้ต่อหรือหนีอีกครั้ง เมื่อสถานการณ์กำลังบ่งชี้ว่า โอกาสเพลี้ยงพล้ำ ติดกับดัก “คดีความ” นั้นมีสูง

ยิ่งการที่ทักษิณ ไม่ปรากฏตัวสู่สาธารณะ  เมื่อใกล้วันที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดพร้อม ในวันที่ 13 มิถุนายน 68 นี้เพื่อไต่สวนกรณีที่ทักษิณ ยังไม่ได้จำคุกตามคำพิพากษาและถูกไปรักษาตัวนอกเรือนจำโดยมิชอบหรือไม่  ยิ่งทำให้เกิดกระแสโหมสะพัดว่า หรือทักษิณ จะไม่ไปศาลด้วยตัวเอง หรือจะเลือกการหนีออกนอกประเทศอีกครั้ง และอาจเป็นครั้งสุดท้าย !

แต่หากโฟกัสไปที่ความเคลื่อนไหวทางการเมือง กลับพบว่า องคาพยพที่อยู่ในมือทักษิณ ยังคงเดินหน้าเปิดปฏิบัติการทั้ง “กดดัน”  ไปจนถึง “ปิดล้อม”  พรรคอันดับสองในรัฐบาลผสม อย่าง “ภูมิใจไทย”  จากคดีฮั้วเลือกสว.67 ผ่านกลไกของ “บอร์ดคดีพิเศษ” ในฐานะความผิด “ฟอกเงิน”  ซึ่งทำท่าว่าเกมการเขย่าพรรคภูมิใจไทยจะบานปลายถึงขั้นที่ว่า ภูมิใจไทยจะตายหมู่ กันทั้งหมด

หมายความว่า กลไกที่เชื่อมโยงกับอดีตนายกฯทักษิณ กำลังสะท้อนว่า ศูนย์กลางอำนาจนั้นยัง “ขยับ” แม้จะโลว์โปรไฟว์ ไม่ปรากฏตัวออกมา ทว่าการลดทอนพละกำลังของพรรคร่วมรัฐบาลอันดับสอง อย่างพรรคสีน้ำเงิน ที่มี “สว.สีน้ำเงิน” มากกว่าค่อนวุฒสภา เป็น “กองกำลัง” ในสภาสูง นั้นยังเดินหน้ากันต่อ ศึกระหว่างแดง กับน้ำเงิน ยังไม่ยุติ

13 มิถุนายน ถูกจับตาว่า นี่อาจเป็น “จุดเปลี่ยน” ในทางการเมืองตามมา ทันที โดย “คมสัน โพธิ์คง”  นักวิชาการด้านกฎหมาย อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เชื่อว่าทักษิณ “หนีแน่นอน” !

หากศาลฎีกาฯ ตัดสินว่าการออกไปรักษาตัวที่ชั้น 14 เป็นไปโดยไม่ถูกต้องยังจะต้องกลับไปติดคุก 1ปี ตามโทษที่เหลืออยู่ หลังจากที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้วที่ผ่านมา และยังไม่นับ “ผลกระทบ” ที่จะเกิดเป็นระลอกคลื่นตามมาหลังจากนี้ เมื่อทักษิณอยู่ในสถานการณ์อันเป็นลบ จากคำสั่งศาลฎีกา ฯ ในวันที่ 13 มิถุนายน นี้ ย่อมจะส่งแรงเหวี่ยง กระแทกไปถึง “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯและพรรคเพื่อไทย โดยไม่ต้องสงสัย

สิ่งที่อาจกลายเป็น “ปัจจัย” ซ้ำเติม สร้างความหวั่นไหว ก่อนวันที่ 13 มิถุนายน ยังอยู่ที่ “มติแพทยสภา” ที่ออกมาก่อนหน้านี้ให้ลงโทษ แพทย์3ราย ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการส่งตัวทักษิณ ออกไปรักษาที่ ชั้น 14 โดยชี้ว่าเป็นการให้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง จากมติแพทยสภา ที่ผ่านมา ได้กลายเป็น “เรื่องร้อน” ว่า “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข ในฐานะนายกสภาพิเศษ จะวีโต้ คือคัดค้าน หรือเห็นชอบตามมติแพทยสภา  

และเมื่อสมศักดิ์ คือรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ในสังกัดอำนาจของทักษิณ จะให้คำตอบต่อเรื่องนี้ออกมาทางไหน ย่อมมีผลทั้งสิ้น บ้างประเมินว่าสมศักดิ์ ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกเสียจากต้องเห็นตามมติแพทยสภา เพราะหากใช้สิทธิวีโต้ ตัวเขาเองก็จะสุ่มเสี่ยงทำผิดกฎหมายเสียเอง จนถึงขั้นที่ “นักวิชาการ” บางรายท้าให้สมศักดิ์ เลือกการวีโต้ ดูแล้วจะรู้ว่ามีอะไรที่รออยู่ข้างหน้า

แต่นักการเมืองระดับ “เซียนเหยียบเมฆ” อย่างสมศักดิ์ ย่อมประเมินได้ว่าในเกมอันตรายเช่นนี้ ทางเลือกแบบไหนที่จะดีต่อตัวเอง ทั้งในวันนี้ และวันหน้า เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ตั้งคณะกรรมการ “10อรหันต์” ขึ้นมาพิจารณามติแพทยสภา ในชื่อ “คณะกรรมการเสนอความเห็นสภานายกพิเศษ” โดยตามกรอบระยะเวลาที่จะครบ 15 วันหลังแพทยสภา ส่งมติถึงมือสมศักดิ์ จะไปตกราววันที่ 30 พ.ค.นี้

การตั้งคณะกรรมการฯชุดดังกล่าวขึ้นมานี้ กำลังถูกมองว่า เป็นการซื้อเวลา อยู่หรือไม่ ยิ่งเมื่อการประชุมนัดแรกเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา “ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์”   ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข หนึ่งในคณะกรรมการฯ แถลงว่า เอกสารที่แพทยสภาส่งมาให้นั้นมีมากกว่าหลายพันหน้า แต่ยังมีความเห็นว่ามีเอกสารบางส่วนที่ยังขาด ในเรื่องขั้นตอนการพิจารณาต่างๆของแพทยสภา ดังนั้นต้องติดตามกันต่อว่า สมศักดิ์  จะมีความเห็นทันภายในกรอบ 15วันหรือไม่

แต่ความเห็นของนายกพิเศษ คือสมศักดิ์ ซึ่งจะต้องออกมาก่อนวันที่ ศาลฎีกา ฯ นัดพร้อมในวันที่ 13 มิถุนายน จะมีผลต่อการไต่สวนของศาลฯหรือไม่ ยังเป็นประเด็น “ทีมทนายความ” ของทักษิณ ต้องเตรียมรับมือ แต่ที่น่าสนใจคือการที่ทักษิณ จะต้องไปปรากฎตัวที่ศาลฎีกาฯ ตามนัดนั้นจะต้องมีขึ้น เนื่องจากทักษิณอยู่ในฐานะ “จำเลย” และศาลระบุว่าเป็นการนัดพร้อม ด้วยเหตุนี้ ทุกความเคลื่อนไหวของทักษิณ ก่อนถึงวันที่ 13 มิถุนายน จึงถูกจับต้องกันแทบไม่กระพริบตา ว่าเขาจะยังอยู่ในเมืองไทย หรือไม่

สภาวะของทักษิณที่กำลังเป็นอยู่เวลานี้ ดูจะไม่ต่างจากคนที่ต้องสู้ไป และถอยไปพลาง  เพราะหากเมื่อใด ส่งสัญญาณยอมแพ้ “โยนผ้าขาว” เครือข่ายอำนาจที่มีอยู่ในมือทั้งพรรคเพื่อไทย และตัวนายกฯแพทองธาร ย่อม “ติดบ่วง” หรือถึงขั้น “แพแตก” ทันที 

เพราะหากไม่สู้ต่อปล่อยให้ “พรรคสีน้ำเงิน” เป็นฝ่ายชนะในศึกความขัดแย้งไป โอกาสที่จะพรรคเพื่อไทย จะได้กลับมาเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลครั้งหน้า ยังจะเป็นได้อีกหรือไม่ ยิ่งเมื่อวันนี้ว่ากันว่าหากมีการยุบสภา เลือกตั้งใหม่  พรรคเพื่อไทยจะเอาผลงานเรื่องไหนไปหาเสียง สู้กับ พรรคสีส้ม

ยิ่งล่าสุด รัฐบาล โดยนายกฯแพทองธาร ออกมาประกาศ “เลื่อน” การแจกเงินหมื่น เฟส 3 ออกไปโดยไม่มีกำหนด ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่านอกจากนโยบายไม่ตรงปกแล้ว ยัง “ขายฝัน” เพราะแม้คนในรัฐบาลรวมถึงนายกฯแพทองธาร ยังไม่ยอมบอกว่า “ยกเลิก” แต่การ “เลื่อนไม่มีกำหนด” ก็ไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ว่าการแจกเงินหมื่น จะมีเป็นไปได้จริงอยู่ดี

คนชื่อทักษิณ ชินวัตร ยามนี้ จะหายใจทั่วท้องได้อย่างไร เมื่อมือข้างหนึ่งต้องถือดาบต่อสู้ รักษา “อำนาจ” ที่ได้มาจาก “ดีลลับ” เอาไว้ให้ได้นานที่สุด  ขณะที่อีกมือหนึ่ง ยังต้องประคองจังหวะก้าว ไม่ให้เพลี้ยงพล้ำ ถึงขั้นหกล้มลงไป  เพราะอาจจะถึงขั้นลุกไม่ขึ้น !