วันที่ 14 พ.ค.68 ที่ศาลาว่าการ กทม. รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวแนวทางนำข้อมูลโครงการตรวจสุขภาพฟรี 1 ล้านคนมาพัฒนาต่อยอดว่า วันนี้ กทม.ตรวจสุขภาพไปแล้ว 790,178 คน แบ่งเป็น ประชาชนทั่วไป 568,604 คน นักเรียนโรงเรียนสังกัด กทม. 221,574 คน พบว่า อันดับ 1 คือ โรคความดันโลหิต แบ่งเป็น ร้อยละ 17.93 ความดันโลหิตสูง ร้อยละ 26.47 ความดันสูงกว่าปกติ ร้อยละ 8.04 ความดันต่ำกว่าปกติ อันดับ 2 คือดัชนีมวลกาย (MBI) ร้อยละ 25.56 น้ำหนักเกิน ร้อยละ 19.79 อ้วนระดับ 1 ร้อยละ 13.03 อ้วนระดับ 2 ร้อยละ 8.36 ผอมเกินไป นอกจากนี้ พบว่า ร้อยละ 78.70 มีความเครียดน้อย

จากข้อมูลตรวจสุขภาพที่พบ กทม.จึงนำมาออกแบบโครงการส่งเสริมสุขภาพและพัฒนาระบบสาธารณสุขหลายมิติ โดยเริ่มจากโครงการวิ่งล้อมเมือง จุดประสงค์เพื่อให้แต่ละเขตจัดกิจกรรมวิ่งเพื่อส่งเสริมสุขภาพ พร้อมเหรียญที่ระลึก ส่วนเขตใดไม่มีพื้นที่สามารถร่วมกับเขตอื่นได้ 2 เขต โดยเน้นที่ข้าราชการ เนื่องจากมีการตรวจสุขภาพทุกปี พบว่าส่วนใหญ่มีน้ำหนักเกิน ไขมันในเลือดสูง ภาวะความดันและเครียด หลังจากส่งเสริมสุขภาพตามโครงการวิ่งล้อมเมืองแล้วในปีแรก กทม.จะกลับมาประเมินว่าได้ผลดีหรือไม่ เพื่อปรับเปลี่ยนและขยายผลไปถึงประชาชนในวงกว้างมากขึ้น โดยระบบเก็บข้อมูลตรวจสุขภาพสามารถคำนวณได้ว่าสุขภาพดีขึ้นจากปีก่อนหรือไม่

จากการตรวจสุขภาพปีที่ 2 พบว่า คนกรุงเทพฯ ไม่กลับมาตรวจสุขภาพซ้ำ หรือไม่เข้ารับการตรวจสุขภาพทุกปีตามการแจ้งเตือนของแอปพลิเคชั่นหมอพร้อม โดยพบว่ามีประมาณร้อยละ 10 ที่กลับมาตรวจสุขภาพซ้ำ ส่วนใหญ่เป็นผู้มาตรวจสุขภาพรายใหม่ โดยปีนี้จะมีการประเมินผลตรวจสุขภาพที่ผ่านมาทั้งหมด เพื่อนำมาวิเคราะห์ทิศทางดำเนินการต่อไป

โดยเฉพาะพื้นที่โซนตะวันออกของกรุงเทพฯ ค่อนข้างกว้างมาก จากข้อมูลตรวจสุขภาพ อาจต้องมีการตรวจหัวใจเพิ่ม แต่ กทม.ยังไม่มีรถโมบายสโตรกยูนิต จึงต้องหาทางขยายการแพทย์เฉพาะทางโซนตะวันออกให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึง การบริหารจัดการรถฉุกเฉินในพื้นที่ต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความหนาแน่นของประชากรแต่ละพื้นที่ ซึ่งข้อมูลตรวจสุขภาพค่อนข้างละเอียดและเป็นประโยชน์ในการนำมาใช้บริหารจัดการระบบสาธารณสุขมิติต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น

ด้านภาวะสุขภาพจิต พบว่า คนกรุงเทพฯ มีภาวะเครียดสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกรุงเทพฯ เบื้องต้นแอปฯหมอพร้อมมีบริการปรึกษา พูดคุย ถามตอบ และคัดกรองผู้มีภาวะซึมเศร้า แต่จะมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นอีกโดยเชื่อมโยงกับแอปหน่วยงานภาครัฐและเอกชนมากขึ้น

รศ.ทวิดา กล่าวว่า ข้อมูลจากนักเรียนกว่า 250,000 คน สัดส่วนภาวะอ้วนในนักเรียนชั้นประถมศึกษามีมากที่สุด คาดว่าผู้ปกครองให้อิสระในการเลือกรับประทานอาหารได้มากขึ้น และยังไม่ถึงวัยที่ต้องกำกับเรื่องอาหารมากนัก รองลงมาคือนักเรียนชั้นมัธยมฯ คาดว่าเริ่มมีการใส่ใจสุขภาพให้สวยงามตามวัยมากขึ้น แต่ขอเตือนว่าอย่าห่วงภาวะอ้วนมากเกินไป ไม่ควรอดอาหาร ขอให้เน้นความแข็งแรงเป็นหลัก เนื่องจากพบตัวเลขภาวะผอมและค่อนข้างผอมถึง 8% ส่วนนักเรียนชั้นอนุบาลพบภาวะอ้วนน้อยที่สุด คาดว่าผู้ปกครองเป็นผู้กำกับดูแลด้านอาหารที่เหมาะสม

ด้านการป้องกันและรักษาในเด็ก ปัจจุบันอยู่ระหว่างขอความร่วมมือร้านขายอาหารรอบโรงเรียน เช่น เน้นความสะอาดปลอดภัย ใช้วัตถุดิบเครื่องปรุงโซเดียมต่ำเพื่อส่งเสริมสุขภาพเด็กอีกทางหนึ่ง ซึ่งได้นำร่องไปแล้วบางพื้นที่ รวมถึง สำนักอนามัยมีโครงการตรวจสุขภาพในโรงเรียน สามารถประเมินภาวะอ้วนและแนะนำเรื่องการซื้ออาหารนอกเหนือจากที่โรงเรียนจัดให้ ทั้งนี้ เมื่อผู้ปกครองทราบข้อมูลเกี่ยวกับเด็กแล้ว หากพบเสี่ยงเป็นโรคอ้วน สามารถเข้ารับบริการคลินิกโรคอ้วนในเด็ก ที่โรงพยาบาลสังกัด กทม. ทั้งแบบเดินเข้ามาทันทีหรือนัดล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ของโรงพยาบาลเพื่อแอดไลน์ ซึ่งการดูแลเบื้องต้นแพทย์จะสอบถามพฤติกรรมการกิน และความเสี่ยงต่าง ๆ จากนั้นจะเจาะเลือดเพื่อตรวจภาวะแทรกซ้อน เช่น น้ำตาล ไขมัน เมื่อคัดกรองแล้วจะมีแพทย์เฉพาะทางหลายด้านคอยให้บริการเฉพาะราย เช่น เวชศาสตร์กีฬา โภชนาการ หรือบางรายอาจให้นักจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นดูแลควบคู่ไปด้วย เพราะวิธีรักษาจะไม่เน้นอดอาหาร แต่จะเน้นกินอาหารที่มีคุณภาพ

ส่วนการป้องกันและรักษาในประชาชนทั่วไปจะมีลักษณะเดียวกัน ซึ่งทุกโรงพยาบาลในสังกัด กทม. มีคลินิกโรคอ้วน/โรคเบาหวาน มีการจัดทีมเยี่ยมบ้านผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน กรณีพบผู้ป่วยอยู่ในขั้นวิกฤตจะนำตัวส่งโรงพยาบาล เช่น น้ำตาลสูง น้ำหนักมาก ผู้ป่วยรู้สึกท้อแท้ช่วยเหลือตัวเองได้ยาก ไม่สามารถลดน้ำหนักด้วยตัวเองตามธรรมชาติได้ โดยแพทย์จะพิจารณาร่วมกับผู้ป่วยถึงแนวทางผ่าตัดกระเพาะ ซึ่งกรณีนี้ต้องผ่านการตรวจและทดสอบเฝ้าดูอาการรวมถึงได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยด้วย อย่างไรก็ตาม ประชาชนทั่วไปควรตรวจสุขภาพเพื่อรู้โรคและรักษาตั้งแต่ต้น เพื่อไม่ต้องไปถึงขั้นตอนการผ่าตัดจะดีที่สุด และสามารถเข้ามาปรึกษากับแพทย์ที่คลินิกโรคอ้วนและเบาหวานได้ทันที เพื่อแพทย์จะให้คำแนะนำและยาที่เหมาะสมกับแต่ละคน นอกจากนี้ สามารถนัดหมายหรือติดตามการรักษาต่าง ๆ ได้ที่แอปพลิเคชั่น หมอ กทม.