ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
แหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อได้บอกกับนักข่าวว่าเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการกลับมาเจรจาข้อตกลงแร่ธาตุระหว่างสหรัฐฯและยูเครนอีกครั้งคือคำขอโทษของเซเลนสกี
ฟ็อกซ์นิวส์รายงานว่า หากโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนต้องการกลับมาเจรจาข้อตกลงแร่ธาตุหายากกับสหรัฐฯอีกครั้ง เขาจะต้องขอโทษต่อสาธารณชนสำหรับพฤติกรรมของเขาในระหว่างการพบปะกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐและรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ ในวันศุกร์นี้
หลายสัปดาห์ก่อนการโต้เถียงอันขมขื่นที่ทำเนียบขาว เคียฟและวอชิงตันได้หารือข้อตกลงที่จะให้สหรัฐเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติของยูเครนได้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้ยังคงค้างคาอยู่หลังจากที่เซเลนสกีเผชิญหน้าอย่างดุเดือดกับผู้นำสหรัฐ
ในรายงานเมื่อวันจันทร์ ปีเตอร์ ดูซี ผู้สื่อข่าวของฟ็อกซ์นิวส์กล่าวว่า "มีความขัดแย้งกันอย่างมากเกิดขึ้นที่ทำเนียบขาวกับพันธมิตรของพวกเขาในเคียฟ" นอกจากนี้ เขายังอ้างอีกว่า “เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งที่นี่แจ้งกับนักข่าวว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับข้อตกลงแร่ธาตุนี้ จนกว่าเซเลนสกีจะไปต่อหน้ากล้องและขอโทษต่อสาธารณชนอย่างชัดเจนสำหรับพฤติกรรมของเขา... ในห้องโอวัลออฟฟิศ”
ขณะเดียวกัน ผู้นำยูเครนเองก็บอกกับบีบีซีเมื่อวันอาทิตย์ว่าเขายินดีที่จะดำเนินการ “เจรจาอย่างสร้างสรรค์” กับวอชิงตันต่อไปและลงนามในข้อตกลง
แต่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเหตุการณ์เผชิญหน้าเมื่อวันศุกร์ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แนะนำให้เซเลนสกีขอโทษ “ที่ทำให้เราเสียเวลา... [และ] ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องวุ่นวายสำหรับเขา”
ในทางกลับกัน ผู้นำยูเครนบอกกับฟ็อกซ์นิวส์ว่าเขาไม่รู้สึกว่าเป็นหนี้คำขอโทษต่อทรัมป์และแวนซ์
ไมค์ วอลทซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวถึงเซเลนสกีว่าเป็น “ปัญหา” เนื่องจากเขาปฏิเสธที่จะ “พูดคุยเรื่องสันติภาพ”
“เวลาไม่ได้อยู่ข้างเขา เวลาไม่ได้อยู่ข้างที่จะสานต่อความขัดแย้งนี้ตลอดไป” เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวกล่าว
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา วอลซ์ได้ให้ความเห็นในลักษณะเดียวกันในการให้สัมภาษณ์กับ CNN โดยเสริมว่า “เห็นได้ชัดว่าแรงจูงใจส่วนตัวหรือแรงจูงใจทางการเมืองของประธานาธิบดีเซเลนสกีนั้นแตกต่างจากความต้องการเพื่อยุติการสู้รบในประเทศของเขา ซึ่งฉันคิดว่าเรามีปัญหาที่แท้จริงอยู่ในมือ”
“เราต้องการผู้นำที่สามารถจัดการร่วมกับเราได้ เพื่อจัดการแก้ปัญหากับรัสเซียในที่สุด และยุติสงครามนี้” เขากล่าวอธิบาย
ทว่าการประชุมในวันศุกร์ที่ทำเนียบขาวกลายเป็นการโต้เถียงกันอย่างรวดเร็วและดุเดือด โดยทรัมป์กล่าวหาว่าผู้มาเยือนของเขาไม่แสดงความกตัญญูและยืนกรานว่าเคียฟ “ไม่มีไพ่ในมือ” เขายังกล่าวอีกว่ายูเครนจะแพ้รัสเซียไปนานแล้วหากไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างเอื้อเฟื้อจากสหรัฐฯ
ทว่าต่อมาการที่ยุโรป โดยเฉพาะเคียร์ สตาเมอร์แห่งสหราชอาณาจักรเสนอตัวออกมาสนับสนุนเซเลนสกี และยังจัดประชุมผู้นำชาติยุโรปจัดตั้งกลุ่มช่วยเหลือยูเครนโดยสมัครใจซึ่งสรุปว่าจะช่วยเหลือยูเครนทั้งการทหารอาวุธและการเงินกลับทำให้การทำข้อตกลงสันติภาพที่เริ่มด้วยการหยุดยิงของทรัมป์ต้องยุ่งยากและยืดเยื้อต่อไปอีก
ทั้งนี้เพราะแรงจูงใจเรื่องแร่หายากมีผลทำให้ผู้นำสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสต่างออกปากว่าจะส่งทหารไปช่วยยูเครนจำนวน 30,000 นายจากแต่ละประเทศ
อนึ่งการเคลื่อนไหวของยุโรปทำให้มองได้ว่าพันธมิตรตะวันตกกำลังแตกร้าวกัน โดยเฉพาะสิ่งที่เซเลนสกีเรียกร้องหลักประกันความปลอดภัยของยูเครน นั่นคือการจัดตั้งกองกำลังของยุโรปในยูเครนในนามกองกำลังรักษาสันติภาพ อันเป็นรูปแบบคล้ายกับกรณีเกาหลีเหนือเกาหลีใต้
เรื่องนี้รัสเซียมองว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกับข้อตกลงมินซ์ ที่แองเกลา แมร์เคิล อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนีออกมาเปิดเผยว่าเป็นข้อตกลงที่จะประวิงเวลาให้ยูเครนสร้างสมพลังทางทหารเพื่อรบกับรัสเซียต่อไปเมื่อพร้อม
แม้ว่าก่อนหน้านี้การเจรจาข้อตกลงสันติภาพระหว่างวอชิงตันกับมอสโกที่ริยาด ซาอุดีอาระเบียจะดูว่ามีความก้าวหน้าอย่างดี ระหว่างทีมเจรจาของทั้ง 2 ฝ่าย โดยรัสเซียมีรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ เซอร์เก ราสรอฟ ส่วนฝ่ายสหรัฐฯก็มีมาร์โก รูมิโอ รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะ แต่การหาแนวทางไปสู่สันติภาพที่เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะรายละเอียดของแนวทางปฏิบัติ
ประเด็นแรกของความยากก็คือ การเปลี่ยนแปลงความคิดที่มีต่อกันภายหลังที่มีความขัดแย้งมายาวนาน ของบรรดาเจ้าหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย สมาชิกสภาผูแทน ตลอดจนผู้นำที่แท้จริงของเคียฟ ซึ่งจะต้องเป็นผู้ดำเนินการจัดทำรายละเอียดในทางปฏิบัติ
ประเด็นถัดมา คือ การสนับสนุนของยุโรปและสหรัฐฯ ต่อยูเครนในเบื้องต้นของความขัดแย้ง นั้นเป็นเรื่องของการช่วยเหลือสนับสนุนยูเครนในนามของการสนับสนุนตามหลักการประชาธิปไตย แต่พอมายุคทรัมป์มันกลายเป็นการแลกเปลี่ยนด้วยแร่หายากในรูปของเงินกู้ ซึ่งอาจต้องมีการพิจารณาถึงเรื่องดอกเบี้ยด้วย
ประเด็นที่ 3 ยังมีปัจจัยเรื่องการขยายตัวของนาโตที่ไม่เคยมีการพูดถึง จากฝั่งตะวันตก แต่ทางรัสเซียถือว่าเป็นสาระสำคัญ
ประเด็นที่ 4 การเจรจาสันติภาพระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซีย ในเรื่องนี้มีแนวโน้มว่าจะขยายขอบเขตในการเจรจาที่จะไปเกี่ยวกับอีกหลายประเทศ ในมุมมองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการปรับสมดุลทางอำนาจ เช่น ความสัมพันธ์ของรัสเซีย จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ หรือการจัดตั้งกลุ่ม BRICS
อนึ่งก่อนหน้านี้มุมมองของสหรัฐฯ และยุโรป ตรงกันในเรื่องประชาธิปไตย และหลักสิทธิมนุษยชน แต่ปัจจุบันกลับมีมุมมองที่แตกต่าง รวมทั้งแนวทางในการสร้างสันติภาพ
ประการที่ 5 เป็นที่ชัดเจนว่าแนวคิดของเคียฟในการสร้างสันติภาพแตกต่างโดยสิ้นเชิงบกับแนวคิดของประธานาธิบดีทรัมป์ และเคียฟคงจะไม่ยอมรับในการปล่อยให้สหรัฐฯคุยกับรัสเซีย โดยที่ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
เท่านั้นยังไม่พอเคียฟยังเรียกร้องให้ยุโรปมีส่วนร่วมในการเจรจาและต่อรองในกระบวนการเพื่อสันติภาพ ซึ่งจะทำให้การเจรจายิ่งสลับซับซ้อน และไม่อาจได้ข้อยุติโดยง่าย เพราะยุโรปเองก็ไม่มีเอกภาพในการตัดสินใจ
ดังนั้นเมื่อเข้าสู่การจัดทำแผนปฏิบัติ ซึ่งดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย ข้อตกลงก็จะเต็มไปด้วยการแก้ไขเพิ่มเติม เต็มไปด้วยศัพท์แสงทางเทคนิค และแน่นอนยิ่งมีรายละเอียดก็จะเต็มไปด้วยช่องโหว่ในการหลีกเลี่ยงข้อตกลงจนนำไปสู่ปัญหาในการปฏิบัติและตามมาด้วยข้อขัดแย้ง
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่อาจนำไปสู่ทางตันได้ เช่น สถานภาพของพื้นที่ต่างๆในยูเครน โดยเฉพาะดินแดน 5 รัฐ ที่ได้มีการลงประชามติให้รวมเข้ากับรัสเซีย ตามกฎบัตรสหประชาชาติเรื่องสิทธิในการตัดสินใจของประชาชนในพื้นที่
จนถึงขณะนี้จึงยังไม่มีความชัดเจนว่าข้อตกลงเรื่องสันติภาพนั้นจะมีองค์ประกอบอะไรบ้าง แม้ว่ามหาอำนาจ 2 ฝ่าย คือ สหรัฐฯและรัสเซียจะมีเจตนารมณ์ร่วมกันในการกระทำเพื่อบรรลุข้อตกลงก็ตาม แต่ความซับซ้อนของกระบวนการทางการเมืองระหว่างประเทศ จะทำให้หนทางไปสู่สันติภาพต้องยืดยาวและใช้เวลามากกว่าที่คาดการณ์ไว้และนี่ถือได้ว่าเป็นมุมมองในด้านดี
แต่ถ้ามองในแง่ร้ายก็อาจมองได้ว่าสหรัฐฯวางแผนที่จะถอนตัวจากการเผชิญหน้ากับรัสเซียในยุโรป และปล่อยให้ความขัดแย้งบานปลายเป็นสงครามระหว่างยุโรปและรัสเซีย โดยสหรัฐฯวางตัวเป็นกลางในเบื้องต้น จนเมื่อทั้งสองฝ่ายบอบช้ำเต็มที่ก็จะเข้าสู่สงครามโดยเข้าข้างพันธมิตรแองโกลอเมริกัน เหมือนสงครามโลกครั้งที่2 ทำให้สหรัฐฯเป็นผู้ชนะโดยเด็ดขาดและไม่บอบช้ำมาก
อย่างไรก็ตามครั้งนี้คงไม่ง่ายเพราะขึ้นกับท่าทีของจีนที่จะรอจังหวะเช่นกัน นอกจากสหรัฐฯจะชิงลงมือก่อน