กสทช.รับลูกรัฐ! ลงพื้นที่ลุย “กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์” เต็มสูบทั่วปท. ล้างบางติดตั้งสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ ล้อมคอกส่งสัญญาณไปตปท.
เดินหน้าเต็มสูบกับ “การกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์” ให้หมดจากประเทศไทยโดยเร็วที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญ และสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านให้ช่วยกวาดล้างพื้นที่ที่เป็นจุดตั้งศูนย์บัญชาการในการโทรศัพท์มาหลอกลวงคนไทยในประทศ
การแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดูจะไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป เพราะประเทศพี่ใหญ่ในเอเชีย อย่างประเทศจีน โดดลงมาแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในครั้งนี้ด้วย โดยสำนักข่าวซินหัว รายงานว่า “กัว เจียคุน” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวว่า จีนได้ดำเนินความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคีกับไทย เมียนมา และประเทศอื่น ๆ อย่างจริงจัง เพื่อป้องปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย จากการข้ามชายแดนไปก่ออาชญากรรม รวมถึงกวาดล้างการพนันออนไลน์ และการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม
“คดีการพนันออนไลน์ , การฉ้อโกงทางโทรคมนาคม และการกระทำผิดร้ายแรงอื่น ๆ ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาที่เกิดขึ้นในช่วงไม่นานนี้ ได้คุกคามความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จากจีนและไทย รวมถึงประเทศที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งขัดขวางการแลกเปลี่ยน และความร่วมมือตามปกติระหว่างประเทศในภูมิภาค โดยการปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ชัดเจนถึงการดำเนินการตามหลักปรัชญาที่ยึดถือประชาชนเป็นศูนย์กลางของจีน และการคุ้มครองผลประโยชน์ร่วมของประเทศในภูมิภาค”
ขณะที่ประเทศไทยซึ่งหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ “การกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์” อย่าง “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ” กสทช.) ได้ลุยพื้นที่ตามแนวชายแดนทั่วประเทศ ด้วยการสนธิกำลังตำรวจ-ทหาร เข้าตรวจสอบพื้นที่น่าสงสัยที่น่าจะเป็นศูนย์บัญชาการในการโทรศัพท์มาหลอกลวงคนไทยในประทศ
ซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้ นำทีมโดย “นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล” รองเลขาธิการ รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า ได้ลงพื้นที่ร่วมกับตำรวจภูธรภาค 2 นำโดย พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่และจุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศ จำนวน 3 จุด ได้แก่ (1) สถานีรถไฟ ด่านพรมแดนคลองลึก (2) สถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่หลังตลาดเบญจวรรณ และ (3) สถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ บ้านโคกสะแบง ต.ท่าข้าม เพื่อร่วมกันตัดสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ในจุดสำคัญแนวชายแดนอรัญประเทศ-ปอยเปต ประเทศกัมพูชา และตรวจสอบสายสื่อสารที่จุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศ หลังมีการสืบทราบว่าได้นำสัญญาณโทรศัพท์ของไทยไปใช้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์
นอกจากนี้บริเวณพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร จ. หนองคาย และกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบการลักลอบลากสายสื่อสารข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน บนสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 1 โดยสำนักงาน กสทช. มีแผนดำเนินการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับกรมทางหลวง ขอให้มีการตรวจสอบการพาดสายสื่อสารของผู้ประกอบการโทรคมนาคมที่ให้บริการระหว่างประเทศร่วมกัน เพื่อป้องกันการลักลอบลากสายสื่อสารเถื่อนข้ามสะพาน ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศจำนวน 17 สะพานทั่วประเทศ
“เมื่อช่วงก่อนปีใหม่ สำนักงาน กสทช. ได้ลงพื้นที่สะพานมิตรภาพไทย – ลาว ไปแล้วครั้งหนึ่ง และพบว่ามีการลากสายสื่อสารเถื่อนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน วันนี้เราจึงลงพื้นที่อีกครั้ง เพื่อจัดระเบียบสายสื่อสาร โดยให้ผู้รับใบอนุญาตที่เป็นเจ้าของสายสื่อสารติดแท็กเพื่อระบุความเป็นเจ้าของสายสื่อสาร ซึ่งปัจจุบันมีผู้รับใบอนุญาตที่ให้บริการแบบมีโครงข่าย ทั้งอินเทอร์เน็ต และวงจรเช่า ระหว่างประเทศ จำนวน 68 ราย” นายไตรรัตน์ กล่าว
อย่างไรก็ตามสำนักงาน กสทช. ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานีวิทยุคมนาคม และการให้บริการโทรคมนาคมบริเวณชายแดนใน อ. เมือง จ.หนองคาย จุดแรก ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง พบสายอากาศแบบโครงข่ายไร้สายระยะไกล หรือจานไวเลส ลิงก์ ความสูง 37.4 เมตร ซึ่งหันทิศทางไปยัง สปป.ลาว ห่างจากชายแดนเพียง 1.24 กิโลเมตร จุดที่สอง พบจานไวเลส ลิงก์ ที่อาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ความสูง 25.6 เมตร ระยะห่างจากชายแดน 7.75 กิโลเมตร และจุดสุดท้าย พบจานไวเลส ลิงก์ที่อาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง พบความสูง 18 เมตร ระยะห่างจากชายแดน 936 เมตร ทั้งนี้จานไวเลส ลิงก์ สามารถส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตระยะไกลได้สูงสุดถึง 30 กม.
ดังนั้นหากมีการติดตั้งจานฯ ในระยะใกล้เคียงตามแนวชายแดนก็อาจตั้งข้อสังเกตได้ว่า มีการตั้งสถานีเพื่อส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตข้ามแดน และอาจนำไปสู่การใช้การก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยจะมีความผิดฐานมีใช้ และตั้งสถานีจานไวเลสลิงก์ ซึ่งถือเป็นเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม 2498 มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท และจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือทั้งจำและปรับ
ปัญหา “การกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์” ดูจะไม่ใช่เรื่องยาก! แต่ก็ไม่ง่าย! งานนี้ทั้งภาครัฐ-ประชาชน ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา!!! ต้องจำไว้ว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ!!!