ขายดิบ ขายดี เซ็งลี้ฮ้อ ราวกับเทน้ำเทท่าในช่วงรอบปี 2024 (พ.ศ. 2567) ที่เพิ่งผ่านพ้นมา

สำหรับ “อาวุธสงคราม” เครื่องจักรประหัตถ์ประหารชีวิตมนุษยชาติที่ตีตรา “เมด อิน ยูเอสเอ (Made in USA.)” คือ “ผลิตหรือทำในประเทศสหรัฐอเมริกา”

โดยเป็น “กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ” เอง ที่ออกมาเปิดเผยถึงตัวเลข สถานการณ์ และบรรยากาศการซื้อขายอาวุธสงครามของสหรัฐฯ ในรอบปีที่แล้ว ซึ่งปรากฏว่า ต้องบันทึกไว้สถิติใหม่ เพราะมียอดจำหน่ายทะลุทุบสถิติเดิมของเมื่อปี 2023 (พ.ศ. 2566) ก่อนหน้า อย่างไม่เห็นฝุ่นถึงราวกว่า 1 ใน 4 คือ เกินร้อยละ 25 ของตัวเลขเมื่อปี 2023 ก่อนหน้า

ตามที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ รายงาน ระบุว่า สหรัฐฯ ได้จำหน่ายอาวุธให้แก่รัฐบาลของประเทศต่างๆ เพื่อนำไปแจกจ่ายกองทัพของตน เมื่อปี 2024 คิดเป็นมูลค่ารวมแล้วมากถึง 3.187 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทะยานพุ่งขึ้นมาจากปี 2023 ถึงร้อยละ 29 หรือมากกว่า 1 ใน 4 เลยทีเดียว

ในจำนวนตัวเลขข้างต้น เอาเฉพาะที่บรรดาบริษัทผู้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์สัญชาติอเมริกา ขายแบบโดยตรงให้เหล่ารัฐบาลของนานาประเทศที่เป็นลูกค้า ก็มีมูลค่ามากถึง 2.008 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เข้าไปแล้ว มากกว่าปี 2023 ที่มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 1.575 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถึงเกือบๆ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยกัน

นอกจากนี้ ก็ยังมีการจำหน่ายอาวุธ โดยใช้ช่องทางผ่านการจัดการโดยทางการวอชิงตัน หรือรัฐบาลสหรัฐฯ อีกจำนวน 1.179 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่าปี 2023 ก่อนหน้าที่มียอดการจำหน่ายอยู่ที่ 8.09 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 45.7

รายงานของกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ยังระบุว่า มูลค่าที่เพิ่มขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้น 3 ปีติดต่อกัน จนทำให้ตัวเลขมูลค่าการจำหน่ายอาวุธของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นรวมแล้วตลอด 3 ปีเป็นต้นมา ถึงจำนวนร้อยละ 49.6 หรือเกือบๆ ครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

ชาติลูกค้าที่นำเข้าอาวุธและระบบทางการทหารต่างๆ จากสหรัฐฯ ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา ก็มีหลายประเทศด้วยกัน ทั้งในภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง เอเชีย และออสเตรเลีย โดยมีรายชื่อได้แก่

เครื่องบินขับไล่แบบเอฟ-16 ที่ตุรเคีย ซื้อไปเป็นจำนวนมากมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (Photo : AFP)

ภูมิภาคยุโรป อาทิเช่น

“ตุรเคีย” ที่ซื้อฝูงบินขับไล่แบบเอฟ-16 และปรับปรุงระบบของฝูงบินขับไล่รุ่นดังกล่าว คิดเป็นมูลค่า 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

“โรมาเนีย” ซื้อฝูงบินขับไล่แบบเอฟ-35 รถถังเอบรามเอ็ม1เอ2 มูลค่ารวมแล้ว 9.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

“รถถังเอบรามเอ็ม1เอ2” ยานรบหุ้มเกราะสัญชาติสหรัฐฯ ที่กองทัพหลายชาติอยากมีไว้ครอบครอง (Photo : AFP)

“เยอรมนี” ซื้อขีปนาวุธแพทริออตและขีปนาวุธรุ่นอื่นๆ มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

“โปแลนด์” ซื้อขีปนาวุธรุ่นต่างๆ รวมถึงปรับปรุงระบบเรดาร์ป้องกันภัยทางอากาศ มูลค่ารวมแล้วกว่า 5.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

“สเปน” ซื้อขีปนาวุธแพทริออต มูลค่า 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

“ออสเตรีย” ซื้อเฮลิคอปเตอร์ “แบล็กฮอว์ก” มูลค่า 1.05 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

“กรีซ” ซื้อเฮลิคอปเตอร์ “แบล็คฮอว์ก” มูลค่า 1.95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

“นอร์เวย์” ซื้อขีปนาวุธพิสัยทำการระยะปานกลางรุ่นต่างๆ มูลค่ารวมแล้ว 1.94 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สาเหตุปัจจัยที่ทำให้บรรดาชาติในภูมิภาคยุโรป พากันทุ่มงบประมาณเพื่อมาจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ด้วยมูลค่ารวมแล้วนับแสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เช่นนี้ ก็มาจากความหวาดหวั่นภัยคุกคามจาก “รัสเซีย” นั่นเอง โดยมี “ยูเครน” ที่กำลังผจญชะตากรรมจากไฟ “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” เป็นบทเรียนตัวอย่าง

นอกจากภูมิภาคยุโรปแล้ว ก็ยังมีหลายประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่ต้องทุ่มงบประมาณเพื่อมาจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ไว้ป้องกันประเทศ โดยมีเหตุสงครามฉนวนกาซา ที่อิสราเอล กำลังตะลุมบอนกับกลุ่มติดอาวุธต่างๆ เช่น ฮามาส เฮซบอลเลาะห์ และฮูตี เป็นตัวตัดสินใจซื้อ โดยประเทศที่ซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ ไว้ปกป้องอธิปไตยประเทศของตน ได้แก่

“ซาอุดีอาระเบีย” จัดซื้อจัดจ้างเกี่ยวกับระบบการส่งกำลังบำรุงต่างๆ ของกองทัพ รวมมูลค่าแล้วราวๆ 3.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

“บาห์เรน” ซื้อรถถังเอบรามเอ็ม1เอ2 มูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

เครื่องบินขับไล่แบบเอฟ-35 ที่อิสราเอลซื้อไปเป็นเขี้ยวเล็บทางอากาศ (Photo : AFP)

“อิสราเอล” ซื้อฝูงบินขับไล่แบบเอฟ-35 มูลค่า 1.88 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ส่วนภูมิภาคเอเชีย ก็มีประเทศลูกค้าชั้นดีอย่าง “ญี่ปุ่น” ที่ซื้อขีปนาวุธโทมาฮอว์กและแพทริออต มูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ขีปนาวุธแบบโทมาฮอว์ก อีกหนึ่งอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ ที่ขายดีในรอบปีที่ผ่านมา (Photo : AFP)

“ขีปนาวุธแบบแพทริออต” ที่ญี่ปุ่นซื้อไปจากสหรัฐฯ ก่อนติดตั้งประจำการตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆ รวมถึงในกรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศ (Photo : AFP)

นอกจากนี้ ภูมิภาคเอเชียใต้ ก็มี “อินเดีย” เป็นประเทศสั่งซื้อ “อากาศยานนักบินบังคับระยะไกล” แบบ “เอ็มคิว98” จากสหรัฐฯ จำนวนหลายลำ คิดเป็นมูลค่ารวมแล้วก็ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งอินเดีย ก็มีปัญหาขัดแย้งกับปากีสถาน และมีข้อพิพาททางดินแดนกับจีนแผ่นดินใหญ่

ไม่เว้นกระทั่ง “ออสเตรเลีย” ประเทศซึ่งอยู่ในทวีปออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์อีกฟากซีกโลก ก็ทุ่มงบประมาณสำหรับจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึก การใช้อุปกรณ์เกี่ยวกับการเป็นพันธมิตรร่วมเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ หรือที่เรียกว่า “ออคัส” ร่วมกับสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าก็ไม่น้อยกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

โดยทางกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ แถลงในรายงานข้างต้นด้วยว่า การขายอาวุธและระบบทางการทหารต่างๆ เหล่านี้ ถือว่ามีความสำคัญต่อนโยบายด้านการต่างประเทศของสหรัฐฯ ท่ามกลางสถานการณ์ความมั่นคงของโลกในภูมิภาคต่างๆ ที่ทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี ก็มีบรรดากลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ ออกมาตอบโต้ว่า การขายอาวุธยุทโธปกรณ์ดังกล่าว คร่าชีวิตผู้คนพลเมืองโลกไปเป็นอย่างมาก เช่นกรณีสงครามกาซา ที่อาวุธของกองทัพอิสราเอลที่ได้ไปจากสหรัฐฯ ปลิดชีพผู้คนไปจำนวนไม่น้อยกว่า 4.72 หมื่นคน