เมื่อวันที่ 7 ส.ค.67  ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หลักสูตร การพัฒนาทักษะในการดำเนินคดีฟอกเงินและอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ประจำปี 2567 (ปอง.2) ได้ไปศึกษาดูงานระบบป้องกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินแห่งโลกอนาคต 

มีนายตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษากฎหมายธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร นำโดย นายทศพร รัตนมาศทิพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และนายแซม ตันสกุล ผู้บริหารกลุ่มงานนวัตกรรมดิจิทัลและข้อมูล ให้การต้อนรับ คณะนักศึกษาหลักสูตรฯ 

ซึ่งมี ดร.สนธยา เครือเวทย์ รองอธิบดีอัยการ สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายอัยการ และนายทีปกร โกมลพันธ์พร อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะผู้บริหารหลักสูตร เข้าร่วมสังเกตการณ์เมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา


โดย นายตระกูล วินิจนัยภาค ได้กล่าวว่า ปัจจุบันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือการฉ้อโกงออนไลน์ ก็ดี แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ของภัยสังคม แต่พิษภัยกลับทวีความรุนแรงเพิ่มยิ่งขึ้น อาชญากรมีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในขณะที่กฎหมายยังต้องใช้เวลาในการแก้ไขปรับปรุงให้ครอบคลุมทุกการกระทำความผิด ดังนั้น ธนาคารต่าง ๆ โดยสมาคมธนาคารไทย จึงต้องเร่งหามาตรการเพื่อยับยั้งการกระทำความผิดให้ได้มากที่สุด ซึ่งเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2567 ได้มีการออกแนวปฏิบัติในการบริหารจัดการบัญชีเงินฝากที่ถูกใช้หรืออาจถูกใช้ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีตามมาตรการแห่งพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และกฎเกณฑ์ทางการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยมีสาระสำคัญเพื่อให้แต่ละธนาคารร่วมกันสอดส่อง ตรวจตรา และจำแนกบัญชีต้องสงสัยว่าจะเป็นบัญชีม้า โดยแบ่งบัญชีม้าออกเป็นหลายประเภทตามสี เช่น บัญชีม้าดำ บัญชีม้าเทาเข้ม และบัญชีม้าเทาอ่อน เป็นต้น 

ส่วนการบรรยายความรู้นั้น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โดยนายแซม ตันสกุล ผู้บริหารกลุ่มงานนวัตกรรมดิจิทัลและข้อมูล ได้บรรยายหัวข้อ “ทิศทางผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมทางการเงินในโลกอนาคตและ AI” ซึ่งมีการแสดงให้คณะศึกษาดูงานได้เห็นถึงนวัตกรรมทางการเงินของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ผ่าน Super App ซึ่งในอนาคตการอำนวยความสะดวกทางธุรกรรมในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อสินค้า การใช้บริการต่าง ๆ และธุรกรรมทางการเงินการลงทุน จะอยู่ในแอปพลิเคชันเดียว ทำให้การดำเนินชีวิตมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้แสดงนวัตกรรมทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่น่าสนใจซึ่งในอนาคตการสั่งการข้อมูลต่าง ๆ จะไม่ต้องใช้ระบบสัมผัสแบบปัจจุบันแล้ว แต่จะใช้การสั่งการผ่านคลื่นสมองโดยการสวมหมวกพิเศษซึ่งสามารถรับรู้ถึงความคิดของผู้สวมใส่ได้ 

ในช่วงบ่าย คณะศึกษาดูงานได้ไปศึกษาดูงานระบบนวัตกรรมทางการเงินในกลุ่มธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธนาคาร(Non-Bank) ที่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือที่เรารู้จักในนามปั้นน้ำมัน PT 

โดยได้บรรยายให้เห็นถึงความสำคัญของ Super App ที่กลุ่มบริษัทในเครือ PTG กำลังใช้งานอยู่ในขณะนี้ คือ แอปพลิเคชัน MaxMe ที่มีความสามารถคลอบคลุมธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัทในเครือ PTG ไม่ว่าจะเป็นปั้นน้ำมัน PT ร้านกาแฟพันธุ์ไทย หรือระบบการเงินรูปแบบใหม่ MaxMe Wallet ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการใช้งานธุรกรรมทางการเงินได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่ต้องใช้เงินสดแถมได้ส่วนลดและสิทธิพิเศษต่าง ๆ มากมายจากกลุ่มพันธมิตรของบริษัทด้วย

สำหรับ หลักสูตร การพัฒนาทักษะในการดำเนินคดีฟอกเงินและอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ประจำปี 2567 (ปอง.2) ถือได้ว่าเป็นหลักสูตรต้น ๆ ของประเทศไทยที่ศึกษาแบบเจาะลึกเกี่ยวกับการดำเนินคดีฟอกเงินและอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยผู้เข้ารับการอบรมมาจากหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ ข้าราชการอัยการ ข้าราชการจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ข้าราชการจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ข้าราชการจากกรมการปกครอง ข้าราชการจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ พนักงานเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และข้าราชการอื่นที่ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในระดับตั้งแต่ตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนขึ้นไปหรือเทียบเท่า รวมทั้งสิ้น 120 คน  มีสถาบันฝึกอบรมการดำเนินคดีชั้นสูงเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักสูตร โดยนายวีระชาติ ศรีบุญมา ผู้อำนวยการสถาบันฝึกอบรมการดำเนินคดีชั้นสูง เป็นผู้อำนวยการหลักสูตร และนายทีปกร โกมลพันธ์พร อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้ดำเนินการหลักสูตร อบรมระหว่างวันที่ 5ก.ค. ถึงวันที่ 27 ก.ย. 2567