เมื่อกลุ่มทุน เจ้อเจียง จินโจว ประเทศจีน ดำเนินธุรกิจกลุ่มหลักได้แก่ แหล่งท่องเที่ยว รีสอร์ท การแสดงด้านการท่องเที่ยว สวนสัตว์เลี้ยง สวนอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวอัจฉริยะ การบริหารจัดการโครงการภายนอก และบริษัทตัวแทนการท่องเที่ยว โดยโครงการส่วนใหญ่ตั้ง อยู่ในเมืองคุนหมิง จังหวัดยูนนาน และหูโจว มณฑลเจียงซี บริษัทได้ลงทุนและก่อสร้างโครงการต่าง ๆ ได้ชูกลยุทธ์การผสมผสานการตลาดออนไลน์และออฟไลน์ ควบคู่กับการยกระดับเนื้อหา และบริการ จนสามารถเพิ่มยอดขายช่องทางออนไลน์ได้ถึง 459% เพิ่มปริมาณการรองรับลูกค้าของทีมงานภายในบริษัทเองเพิ่มขึ้น 214% และตลอดทั้งปีมีผู้เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมดกว่า 9.22 ล้านคน ส่งผลให้จำนวนคืนที่พักในโรงแรมเกินกว่า 40,000 คืน ได้จัดการประชุมสุดยอดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมประเทศจีน-ประเทศไทย เพื่อขยายขอบเขตความร่วมมือทางกลยุทธ์ในภาคธุรกิจการค้า เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
มอบโซลูชันที่ครอบคลุม
ในเรื่องนี้ นายยู จินฟาง ประธานกรรมการบริหารหอการค้าจีน นายกสมาคมสถานที่ท่องเที่ยวซีซีที ประธานคิงแลนด์กรุ๊ป และแม่โขงกรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทขยายธุรกิจรูปแบบใหม่ เช่น การท่องเที่ยว วัฒนธรรม สุข ภาพ การศึกษา และ กีฬา นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินการส่งออกบริการด้านแบรนด์วัฒนธรรม การท่องเที่ยว เทคโนโลยีด้านสัตว์และพืช การดำเนินงานและการบริหารจัดการ เพื่อมอบโซลูชันที่ครอบคลุมสำหรับอุตสาหกรรมวัฒนธรรมการท่องเที่ยวให้แก่พันธมิตรซึ่งในปี 2566 ได้สื่อสารผ่านกลยุทธ์การผสมผสานการตลาดออนไลน์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และคาดว่าการเดินทางมาจัดประชุมในเมืองไทยครั้งนี้ น่าจะสร้างจำนวนคน และรายได้เติบโต 100%
ส่วนแผนอนาคตของ บริษัท แม่โขงกรุ๊ป การท่องเที่ยวแม่โขง จำกัด มีแผนจัดตั้ง สมาคมการท่องเที่ยวแม่น้ำโขง ร่วมกับสมาคมการท่องเที่ยว ระดับชาติ หรือภูมิภาค วิสาหกิจการท่องเที่ยวหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เมืองท่องเที่ยว องค์กรทางสังคม สถาบันวิจัย และ สื่อมวลชนในภูมิภาคล้านช้าง-แม่โขง ภายใต้ บริษัท แม่โขงกรุ๊ป การท่องเที่ยวแม่โขง จำกัด สิ่งนี้จะช่วยเสริมสร้างการแลกเปลี่ยน และเชื่อมโยงระดับองค์กร บรรลุซึ่งการส่งเสริมอุตสาหกรรมร่วมกันและการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยว และเชื่อมโยงความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระหว่างประเทศในภูมิภาคล้านช้าง-แม่โ ขง
โดย นายยู กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 ซึ่งมีข้อตกลงยกเว้นวีซ่าระหว่างประเทศจีนและประเทศไทยมีผลบังคับใช้ ได้นำไปสู่ยุคปลอดวีซ่า ส่งผลให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวแบบสองทางพุ่งสูงขึ้นทั้งในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวไทยเดินทางไปเยือนประเทศของกันและกัน ส่งเสริมให้เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศเติบโตขึ้นเป็นอันมาก
สำหรับประเทศจีนมีนักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสนใจ โดยดูจากตัวเลขจาก Trip.com แสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้นกว่า 160% นับตั้งแต่ 2562 เป็นต้นมา ส่วนประเทศไทยนั้นจากประเมินของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) น่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนกว่า 8 ล้านคนใน 2567 สร้างรายได้กว่า 320 พันล้านบาท
กระตุ้นตลาดเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ททท.ตั้งเป้าหมายตลอดปีนปี 2567 คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวไทย 8.2 ล้านคน สร้างรายได้ 451,800 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการแข่งขันทางการท่องเที่ยวของฮ่องกงและมาเก๊ายังไม่เต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ชะล่าใจ ยังคงดำเนินการกระตุ้นตลาดเพิ่มเติมผ่านโครงการต่างๆ รวมถึงทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ต่างๆ มากขึ้นด้วย
ซึ่งทาง ททท.ได้จัดกิจกรรมการดำเนินงานของตลาดจีน เพื่อเน้นการส่งเสริมภาพลักษณ์เชิงบวก อาทิ จัดกิจกรรมร่วมกับ Social Media Douyin โดยเชิญผู้นำทางความคิด หรือ อินฟลูเอนเซอร์ (KOL/KOC) ที่มีชื่อเสียงบนแพลตฟอร์ม ร่วมเดินทางมายังประเทศไทยและนำเสนอคอนเทนต์เชิงบวกเกี่ยวกับประเทศไทย ชวนเที่ยวในเมืองรองเพื่อพักผ่อนมากขึ้น ไม่ได้เน้นไปแค่เมืองหลัก หรือใช้จ่ายชอปปิ้งเป็นหลักเหมือนเดิม
โดยจังหวัดที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย 10 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี กระบี่ พังงา สุราษฎร์ธานี หนองคาย ประจวบคีรีขันธ์ และสตูลการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)ในช่วง 5 เดือนแรก (มกราคม-พฤษภาคม) ปี 2567 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยแล้ว 2.9 ล้านคน และเชื่อมั่นว่าตลาดจีนจะบรรลุเป้าหมาย 8 ล้านคนในปีนี้ได้ไม่ยาก
ทำตลาดต่างประเทศ
ส่วน มาเรีย เฮเลน่า เดอ เซนน่า เฟอร์นานเดซ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวมาเก๊า กล่าวว่า การท่องเที่ยวมาเก๊าให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการทำตลาดต่างประเทศ ในการที่จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่มีการฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยสัดส่วนของนักท่องเที่ยวทั้งหมดของมาเก๊า ประกอบด้วย จีน 70% ตามด้วยฮ่องกง 20% ไต้หวัน 2% และอื่น ๆ รวม 7% จากเกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย โดยมีการเปิดตัวแคมเปญส่งเสริมการขายขนาดใหญ่ในต่างประเทศเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย เพื่อตอบสนองต่อความคิดริเริ่มของรัฐบาลเขตบริหารพิเศษมาเก๊า ในการขยายตลาดต่างประเทศ พร้อมดึงดูดนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มาเยี่ยมชมมาเก๊าให้มากขึ้น ด้วยการนำเสนอเอกลักษณ์ มาเก๊า ในหลากหลายมิติ
พร้อมกันนี้นายนัวร์ อาหมัด ฮาหมิด ซีอีโอสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (PATA) ได้กล่าวย้ำว่า การฟื้นฟูท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกสามารถผลักดันได้ด้วยการผ่อนคลายข้อจำกัดด้านวีซ่า การเพิ่มปริมาณเที่ยวบิน การเชื่อมต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวในภูมิภาค การฝึกอบรมและเพิ่มทักษะบุคลากรด้านการท่องเที่ยว
