จากกรณีการเสียชีวิตอย่างปริศนาของ นายพิชิต (สงวนนามสกุล) หรือ ต้น อายุ 44 ปี เจ้าของธุรกิจสอนนวดแผนไทย ถูกเปิดเผยขึ้นโดยน้องสาวผู้ตาย เข้าร้องเรียนกับทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หลังสงสัยว่าพี่ชายไปบ้านภรรยาและเสียชีวิตที่จ.มหาสารคาม พื้นที่สภ.ยางสีสุราช สงสัยอาจถูกฆาตกรรม เนื่องจากสภาพศพพี่ชายมีใบหน้าเขียวคล้ำ มือหงิกงอ น้ำตาไหลเป็นสายเลือด และแพทย์ลงความเห็นสาเหตุการตายไม่ชัดเจนพบพิรุธหลานอย่าง ขณะเดียวกันพี่ชายเพิ่งถูกลอบยิงในพื้นที่รับผิดชอบ สน.วังทองหลาง แต่คดีนี้ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้และขณะนี้ได้แจ้งความไว้ที่ สภ.ยางสีสุราช แต่คดีไม่คืบหน้า

เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (19พ.ค67) คุณณัฐปภัษร์ อายุ 42ปี  น้องสาวของผู้เสียชีวิต มาพร้อมกับรูปถ่ายของพี่ชายและโกศเก็บเถ้ากระดูกของพี่ชาย ได้เดินทางมายังสน.วังทองหลาง เพื่อเดินทางมาพบกับพนักงานสอบสวน และพ.ต.อ.เจษฎา ยางนอกผกก.สน.วังทองหลาง เพื่อร้องขอความเป็นธรรม และติดตามคดีต่างๆให้กับ นายพิชิต ผู้เป็นพี่ชาย หลังจากที่การเสียชีวิตยังคงมีพิรุธและมีปริศนาหลายอย่าง 


โดยในวันนี้ นางสาวณัฐปภัษร์ น้องสาว ของผู้เสียชีวิต เดินทางมาที่ สน.วังทองหลาง เพื่อมาขอติดตามความคืบหน้าในคดีที่พี่ชาย เคยมาแจ้งความเอาไว้ว่าเมื่อวันที่ 8 เมษายนในเวลาห้าทุ่มครึ่ง พี่ชายถูกรอบยิงที่บริเวณถนน เลียบทางด่วนประดิษฐ์มนูธรรม หลังเดินทางไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุ ซึ่งตนเองต้องการเดินทางมาสอบถามกับทางพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ถึงรายละเอียดต่างๆ ของคดีเพราะมีข้อสงสัยหลายประการ จึงอยากให้ตำรวจช่วยคลี่คลายข้อสงสัยว่า การเดินทางมาที่ร้านอาหารดังกล่าวของพี่ชาย การเดินทางมาตามนัดหมายของใคร หรือไม่ เพราะปกติเวลาพี่ชายไปร้านอาหารมักจะมีการดื่มกินสุราแต่ในเคสนี้กลับยังไม่ทันมีการดื่มกินก็กลับออกจากร้านอาหาร และกลับมาถูกก่อเหตุแบบนี้ ซึ่งตนเองก็อยากให้ตำรวจทดสอบกล้องวงจรปิดว่ามีใครได้ขับรถจักรยานยนต์หรือขับขี่รถติดตามพี่ชายไป จนมีการก่อเหตุหรือไม่

อีกทั้งไม่กี่วันต่อมามีการเดินทางไปยังจังหวัดมหาสารคาม และก็ถูกพบว่านอนตายเสียชีวิตอย่างมีปริศนา ซ้ำยังไม่มีการชันสูตรพลิกศพอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ตนเองในฐานะน้องสาวจึงอยากรู้ข้อเท็จจริงจึงมาขอพบกับพนักงานสอบสวนในวันนี้ 

ในส่วนของทางคดีในจุดเกิดเหตุของจังหวัดมหาสารคาม ในวันพรุ่งนี้ตนเองจะเดินทางไปขอทราบรายละเอียด เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

โดยนางสาวณัฐปภัษร์ ยังระบุอีกว่าวันนี้ที่เดินทางเอาอัฐิมาให้ตำรวจ ก็เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตามคดีให้ เผื่อทางทีมนิติเวชหรือแพทย์ที่ชันสูตรจะมีวิธีใหม่ๆ ในการตรวจหายาที่ตกค้างในกระดูกได้ เพราะสภาพศพพี่ชายอย่างที่เห็น มันดำมาก คาดว่าจะต้องมีสารอะไรที่หลงเหลืออยู่บ้าง แม้เหตุการณ์จะผ่านมาเป็นเดือนแล้ว 

โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ก่อนจะเดินทางมาที่โรงพัก ก็ได้จุดธูปบอกพี่ชายว่า ขอให้ช่วยเจด้วย ช่วยพิสูจน์ความจริงด้วย ถ้าพี่ต้นตายด้วยสาเหตุธรรมชาติ ก็ขอให้บอกมาเลย บอกทุกคน บอกนักข่าว บอกตำรวจ บอกศาล

ส่วนตัวยังมีความเชื่อว่าพี่ชายถูกวางยา แต่ขอให้ตำรวจเป็นคนรายงานผลว่าใครเป็นคนทำ ขอไม่ระบุชื่อ จึงต้องรอผลของการสืบสวนสอบสวนที่จะเป็นผู้ไขคดี  ส่วนวันนี้สาเหตุที่ออกมาเคลื่อนไหว ก็เพราะติดใจสาเหตุการตาย โดยยอมรับว่าก่อนหน้านี้พ่อกับแม่ไม่ได้ผ่าชันสูตร ซึ่งเธอเคารพการตัดสินใจตรงนั้น แต่ในความรู้สึกส่วนตัว ที่ผ่านมาเธอฟังเสียงพ่อโทรมาร้องไห้ตลอดทุกวัน บางทีแม่ก็จุดธูปไหว้หน้าศพ ก็ร้องไห้หนัก เธอทนดูไม่ได้ จนต้องวิ่งหาทนายสักคน เพื่อเอามาช่วยทำคดี จนกระทั่งมาเจอทนายเดชา

ผู้สื่อข่าวมีการสอบถามในประเด็นที่ว่าทางภรรยาของนายพิชิตตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุที่เธอออกมาเรียกร้อง เพราะต้องการเงินหรือไม่นั้น นางสาวณัฐปภัษร์ ระบุว่า เธอคิดว่าการตายของพี่ชายมีเงื่อนงำแน่นอน แต่จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ โดยยอมรับว่าที่ผ่านมาเคยทะเลาะกับฝั่งของพี่ชายจริง เธอเคยไปทำงานร้านพี่ชาย ก่อนจะมีเรื่องกัน และเชื่อว่าก็อาจจะเกิดจากการไม่ชอบเธอเป็นการส่วนตัวด้วย จนบีบเธอให้ออกมาจากร้าน ซึ่งทำงานมา 23 วัน ไม่ได้เงินสักบาท พร้อมอยากถามว่า พี่ต้นไม่อยู่ใครเป็นคนเลี้ยงพ่อแม่เขา เมียเขาหรอ หลังเลิกรากันไป 1 ปี เมียเขาก็อาจจะไปมีแฟนใหม่ เขาจะจ่ายจะเลี้ยงดูพ่อแม่เราไหม จึงหวังว่าวันนี้จะรู้ผลการตายว่าเกิดจากอะไรกันแน่ จะเป็นเส้นเลือดในสมองแตกตามที่เขาบอกจริงหรือไม่ เพราะใบชันสูตรไม่ได้ระบุอย่างนั้น ยืนยัน ไม่ได้มองเรื่องทรัพย์สิน แต่มองเรื่องเอกสารและสาเหตุการตาย เป็นสำคัญ พร้อมตั้งข้อสังเกตุว่าการตายของพี่ชายตนเอง ใครจะได้ประโยชน์มากที่สุด

ส่วนวันงานศพที่ไม่ได้ไปร่วมงาน เพราะคับแค้นใจ แต่ได้จุดธูปแช่งในวันนั้น แช่งคนที่ทำกับพี่ชาย และยืนยันกับตัวเองว่าต้องหาให้ได้ว่าใครเปนคนทำ ทั้งคนที่จ้างวานและคนที่วางยา ทำให้พี่ชายต้องร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด และยังมีพฤติกรรมข่มขู่พ่อแม่

พร้อมยอมรับว่าการออกมาเรียกร้องครั้งนี้ ก็มีครอบครัวบางคนที่ไม่เห็นด้วย เพราะครอบครัวแบ่งเป็นสองฝ่าย คือ 1.มองให้เรื่องเงียบ เพราะสงสารพี่ต้น 2.ออกมาหาความจริงให้เจอ 

ตอนนี้ตนเองเป็นห่วงแม่ที่ยังอยู่บ้านของพี่ชาย เนื่องจากกลัวว่าคนอื่นเข้ามาในบ้าน หากวันไหนแม่อยู่คนเดียว แล้วมีคนเข้ามา ก็เกรงจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากอีกฝ่ายมีพฤติกรรมข่มขู่ กลัวว่าจะต้องเสียแม่ไปอีกคน วันนี้น้องสะใภ้จึงจะมารับแม่ไปอยู่ด้วย 

 โดยในวันพรุ่งนี้เธอจะเดินทางไปที่ สภ.ยางสีสุราช เพื่อไปติดตามคดีและขอดูสำนวน รวมถึงจะไปขอดูกล้องวงจรปิดว่ามีหรือไม่ หรือมีใครบ้างที่เห็นเหตุการณ์ หรือมีใครรับรู้อะไรบ้าง หรือพี่ชายกินเหล้ากับใครเป็นคนสุดท้าย หรือมีความโกรธแค้นกับใครหรือไม่

 ส่วนเหตุการณ์ในวันที่ 8 เมษายน 2567 จะเชื่อมโยงกันหรือไม่ อยู่ระหว่างขอข้อมูลจากทางตำรวจ ว่าพี่ชายได้คุยกับใครบ้าง หรือมีความแค้นกับใครในตอนนั้นถึงออกมาแล้วถูกยิง และมันจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่ตนเองก็ได้ยินมาว่า มีการนัดไปคุยเรื่องหย่า โดยมีการติดต่อมาจากอดีตภรรยา 

ด้าน พันตำรวจเอกเจษฎา ยางนอก ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลวังทองหลาง ระบุถึงกรณีนี้ว่า เบื้องต้นในส่วนของคดีพยายามฆ่าในพื้นพื้นที่ของ สน. วังทองหลาง หลังจากได้รับแจ้งความจากผู้เสียชีวิต เมื่อวันที่ 9 เมษายน ทางตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.วังทองหลาง มีการรวบรวมพยานหลักฐาน และลงพื้นที่หาข้อมูลตามคำให้การของผู้ตาย ณ ขณะนั้น จนตอนนี้สามารถระบุตัวบุคคลที่ก่อเหตุทั้งสองคนได้เป็นที่เรียบร้อย อยู่ในขั้นตอนการออกหมายจับและติดตามตัว ผู้ก่อเหตุทั้งสองคน ซึ่งหากได้ตัวผู้ก่อเหตุจะสามารถขยายผลไปในประเด็นต่างๆ ที่ตำรวจตั้งไว้ได้ ว่ามีการจ้างวานจากบุคคลอื่นหรือไม่หรือประเด็นในการก่อเหตุมาจากประเด็นใด เพราะผู้ตายมีการให้ข้อมูลกับทางตำรวจถึงความขัดแย้งในหลายประเด็น ซึ่งตำรวจวังทองหลางไม่มีการตัดประเด็นใดทิ้ง แต่สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ต้องเร่งรัดในการจับกุมตัวผู้ก่อเหตุทั้งสองมาเพื่อการขยายผลก่อน  ในวันนี้ตนเองจึงเดินทางมาเพื่อพูดคุยกับทางน้องสาวผู้เสียชีวิต