เรื่อง : ปาริชาติ เฉลิมศรี
ปี 2566 กลายเป็น ปีกระต่ายดุ สำหรับการเมืองไทย เมื่อแลหลังกลับจะพบว่าเป็นห้วงเวลาที่สถานการณ์ทางการเมือง ดุเดือด เข้มข้น ผ่านพ้นจุดเปลี่ยน จุดพลิกผันสำคัญ หลายต่อหลายครั้ง “ทีมข่าวการเมืองสยามรัฐ” ได้ประมวลย้อนหลังเหตุการณ์ที่น่าสนใจ สมควรที่จะต้องบันทึกเอาไว้
ทั้งการเลือกตั้งครั้งใหม่ การจัดตั้งรัฐบาล การลงจากอำนาจของ “3ป.” การพลาดหวังของ “ด้อมส้ม” เมื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” พาพรรคก้าวไกล ไปไม่ถึงทำเนียบฯ จนมาถึงจังหวะที่ เก้าอี้ “นายกฯคนที่ 30” ชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน”
# ศึกหักหลัง “แดง” ทิ้ง “ส้ม” ตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว
ปี 2566 การเมืองเริ่มคึกคักขึ้น เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศให้มีการเลือกตั้งสส.ทั่วไป ในวันที่ 14 พ.ค. 2566 บรรดาพรรคการเมืองต่างลงพื้นที่หาเสียง เพื่อช่วงชิงที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ให้ได้มากที่สุด
ผลการเลือกตั้งชัดเจนว่า พรรคก้าวไกลที่มี "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" เป็นหัวหน้าพรรคกวาดคะแนนเลือกตั้งไปถึง 14 ล้านคะแนน ได้ที่นั่งสส. 151 คน เป็นสส.แบ่งเขต 112 คน และสส.บัญชีรายชื่อ 39 คน กลายเป็นพรรคการเมืองอันดับหนึ่งและเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
ปรากฎการณ์ดังกล่าวสร้างความฮือฮาให้คอการเมืองไม่น้อย เนื่องจากพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคหน้าใหม่ สามารถชิงตำแหน่งพรรคอันดับหนึ่ง แทนที่ พรรคเพื่อไทยไปได้อย่างเหลือเชื่อ
จากนั้นพรรคก้าวไกล ก้าวขึ้นมาเป็น “พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล” โดยได้ส่งเทียบเชิญไปยัง "พรรคเพื่อไทย" ซึ่งมีจำนวนสส. มากเป็นอันดับสอง คือ 141 คน รวมถึงพรรคไทยสร้างไทย พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเป็นธรรม พรรคพลังสังคมใหม่ และ พรรคไทรวมพลัง มีการจัดแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาล พร้อมมีมติสนับสนุน พิธา เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมลงนามทำเอ็มโอยูกันอย่างเป็นทางการ
ผ่านไป 2 เดือนกับการที่ พรรคก้าวไกลเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่ กกต. ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งและให้สส.เข้ารายงานตัวรัฐสภา ก่อนที่จะมีการ ประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เมื่อวันที่ 13 ก.ค. โดยมีการเสนอชื่อเดียวคือ พิธา แต่กลับได้คะแนนไม่ถึงครึ่งหนึ่งของรัฐสภา หรือ 376 เสียง
ทำให้ต้องมีประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติโหวตเลือกนายกฯ เป็นรอบที่สองในวันที่ 19 ก.ค. ซึ่งชื่อ พิธาก็ถูกเสนออีกครั้ง แต่การเสนอชื่อ พิธา ถูกนำมาถกเถียงกันในสภา และมีการลงมติว่าเป็นญัตติต้องห้าม ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 41 ทำให้ชื่อ พิธา ถูกตีตกไป
เมื่อพรรคก้าวไกล พรรคอันดับหนึ่งไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ จึงต้องประกาศให้พรรคอันดับสองอย่าง พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไป
จากนั้นพรรคเพื่อไทย เดินหน้าส่งเทียบเชิญไปยังพรรคต่าง ๆ ทั้งพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคประชาชาติ พร้อมกับเสนอชื่อ "เศรษฐา ทวีสิน" เป็นนายกฯ โดยเมื่อวันที่ 22 ส.ค. รัฐสภาก็ได้ลงมติเห็นชอบให้ เศรษฐา เป็นนายกฯ ด้วยคะแนนเสียง 482 คะแนน จากสมาชิกรัฐที่ลงคะแนน 728 คน ซึ่งเกินครึ่งหนึ่งของรัฐสภา ส่งผลให้ เศรษฐา เป็นนายกฯ คนที่ 30 และเกิดรัฐบาลผสม 314 เสียง
และที่ฮือฮา คือการที่เศรษฐา ได้รับเสียงโหวตสนับสนุนจาก “สว.” จำนวนมากถึง “152 เสียง” โดยที่เป็นสว.ในสายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯคนที่ 29 ในขณะนั้น
# ปิดตำนาน “พี่น้อง 3 ป.”
หลังจบศึกเลือกตั้ง ตำนานพี่น้อง 3 ป. ก็จบลง เมื่อต่างมีเส้นทางเดินของตัวเองที่ชัดเจน แต่เหนืออื่นใด คือการลงจากหลังเสือ โดยไม่ถูกเสือกัด ทุกภารกิจเคลียร์คัท !
“พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เดินหน้าทำพรรคพลังประชารัฐ อย่างต่อเนื่อง ประกาศตัวเป็น “แคนดิเดตนายกฯ” ของพรรค ก่อนการเลือกตั้ง พร้อมทั้งชูภารกิจสร้างความปรองดอง ทำงานด้วย “ใจบันดาลแรง” เดินสายหาเสียงกับพรรคพลังประชารัฐ อย่างคึกคัก
ส่วนน้องเล็ก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปนั่งเก้าอี้ ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ส่วนอีก 1 ป. คือ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ตลอดสมัยรัฐบาล แม้ไม่ได้ออกตัวแรงลงเล่นการเมือง แต่ก็ยังคงอยู่เคียงข้างพล.อ.ประยุทธ์
แต่เมื่อการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. 2566 จบลง โดยที่ทั้งพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ “3 ป.” ค่อยๆ ลดบทบาทลง โดยตัว พล.อ.ประยุทธ์ ได้ประกาศวางมือทางการเมืองพร้อมลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2566 ก่อนที่จะลงมติเห็นชอบเลือกนายกฯ คนใหม่ เพียงไม่กี่วัน
และพล.อ.ประยุทธ์ ถือฤกษ์ดีให้วันที่ 31 ส.ค. เป็นวันสุดท้ายของการทำหน้าที่ “นายกฯคนที่ 29” พร้อมกับการก้าวเท้าออกจากทำเนียบรัฐบาล เป็นการปิดฉากในตำแหน่งนายกฯ ที่เป็นมาตลอด 9 ปีเต็ม ตั้งแต่รัฐประหาร 2557 ในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
โดยพล.อ.ประยุทธ์ ได้ใช้เวลาหลังจากที่ไม่ได้เป็นนายกฯ พักผ่อนอยู่บ้านรวมถึงการเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นกับครอบครัว ทั้งนี้เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2566 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ รับตำแหน่งองคมนตรี
ด้านพี่ใหญ่ พล.อ.ประวิตร ที่วันนี้เหลือเพียงเก้าอี้หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แม้บทบาทที่ลดลง เพราะไม่ได้มีตำแหน่งในรัฐบาลชุดปัจจุบัน แต่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดก็ยังเป็นสถานที่ที่บรรดา สส. และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยังแวะเวียนเข้าไปพูดคุยอยู่เป็นประจำ
แต่ดูเหมือนว่าหลังปีใหม่ พล.อ.ประวิตร จะเริ่มขยับเมื่อพรรคพลังประชารัฐจัดสัญจร โดยประเดิมที่แรกจ.เพชรบูรณ์ ในวันที่ 8 ม.ค. 67 เพื่อขับเคลื่อนเรื่องสปก.เป็นโฉนด ต่อด้วยจ.หนองคาย เพื่อติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ ท่ามกลางกระแสข่าวที่สะพัดล่าสุดว่า “บิ๊กป้อม” เตรียมรีเทิร์น
# "ทักษิณ" กลับประเทศไทย ในรอบ 17 ปี
เป็นอีกประวัติศาสตร์ไทยเมื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศนานถึง 17 ปี ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 2551 ประกาศจะกลับประเทศไทย ซึ่งเป็นที่จับตาว่าจะกลับจริงหรือไม่ แต่แล้วในวันที่ 22 ส.ค. 2566 ทักษิณ ก็กลับมา ซึ่งเป็นวันที่ตรงกับการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อลงมติโหวต นายกฯคนที่ 30 ด้วย
โดยทันทีที่ ทักษิณ เดินทางถึงสนามบินดอนเมืองด้วยเครื่องบินส่วนตัว ได้เดินทางต่อไปยังศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยได้ถูกนำตัวเข้าสู่ห้องพิจารณาคดี สำหรับคดีที่ทักษิณต้องรับโทษ ประกอบด้วย 1.คดีทุจริตปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ ตัดสินเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2562 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ อม. 4 / 2551 ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 3 ปี
2. คดีหวยบนดิน ตัดสินเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2562 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552 ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่ได้ขอให้นับโทษต่อจากคดีเอ็กซิมแบงค์ และ 3.คดีแก้สัมปทานเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป ตัดสินเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2563 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 5 ปี รวมแล้วจำคุก 3 คดี เป็นระยะเวลา 8 ปี
จากนั้นทักษิณได้ถูกส่งตัวไปที่แดน 7 ของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ก่อนที่ค่ำวันที่ 22 ส.ค. 2566 เรือนจำได้ส่งตัวทักษิณไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากมีอาการนอนไม่หลับ แน่นหน้าอกและความดันโลหิตสูง
โดยเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2566 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระบรมราชโองการ พระราชทานพระมหากรุณาอภัยโทษให้ทักษิณ เหลือจำคุกต่อไปอีก 1 ปี ตามกำหนดตามคำพิพากษา เพื่อจะได้ใช้ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ช่วยเหลือและทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ สังคม ประชาชนสืบไป
จากนั้นเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2566 “สหการณ์ เพ็ชรนรินทร์” รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทน อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ลงนามในคำสั่ง เรื่องระเบียบกรมราชทัณฑ์ โดยมีเนื้อหาว่า ด้วยกรมราชทัณฑ์ได้ประกาศใช้ระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2560 โดยสาระสำคัญของระเบียบนี้ เป็นการกำหนด “สถานที่คุมขังอื่นที่มิใช่เรือนจำ” หรือ จำคุกนอกเรือนจำ ตามมาตรา 33 แห่งพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 และพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง แต่ละประเภทและการอื่นตามมาตรา 34 แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560
ซึ่งการที่กรมราชทัณฑ์มีคำสั่งออกในช่วงที่ ทักษิณยังพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจนั้น ถูกมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับ ทักษิณ ที่ไม่ต้องไปรับโทษจำคุกในเรือนจำหรือไม่ เพราะขณะนี้ทักษิณ ยังพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เกิน 120 วันแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะออกจากโรงพยาบาลตำรวจ ไปรับโทษที่เรือนจำ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ว่าทักษิณ กลายเป็น “นักโทษเทวดา”
# “แจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต” อาการน่าเป็นห่วง
เมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จึงเริ่มเดินหน้านโยบายแจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต ตามที่ได้หาเสียงกับประชาชน แต่ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เมื่อมีเสียงออกมาคัดค้าน โดยนักวิชาการและคณาจารย์ร่วมลงชื่อจำนวน 99 คน ออกแถลงการณ์คัดค้านและเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายดังกล่าว เพราะเห็นว่าวงเงิน 560,000 ล้านบาทที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้ จะทำให้เสียโอกาสการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและไม่คำนึงถึงวินัยและเสถียรภาพการคลังระยะยาว หรือแม้แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากพรรคการเมือง สว.ตลอดจน อดีตรัฐมนตรี
รวมถึง "เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ออกมาระบุว่าไม่มีความจำเป็นและกระแสข่าวว่าจะมีการปลดผู้ว่าฯ ธปท.แต่สุดท้ายนายกฯ ก็ได้นัดหารือกันที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
ทุกอย่างก็ดำเนินการต่อโดยมีคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ศึกษาหาข้อมูล ก่อนที่วันที่ 10 พ.ย. 2566 เศรษฐา แถลงรายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ โดยที่มาของเงิน จะมาจาก พ.ร.บ.กู้เงิน วงเงิน 5 แสนล้านบาท และงบประมาณปี 2567-2569 ประมาณ 1 แสนล้านบาท
โดยเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2566 กระทรวงการคลัง ทำหนังสือสอบถามความเห็นไปยัง "คณะกรรมการกฤษฎีกา" เกี่ยวกับพิจารณาข้อกฎหมายโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งคาดจะทราบภายในเดือนม.ค. 2567 ขณะที่ "จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์" รมช.คลัง ระบุว่า หากคำตอบของกฤษฎีการะบุว่าสามารถเดินหน้าโครงการได้ กระทรวงการคลังจะเร่งร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 500,000 ล้านบาทโดยเร็วที่สุด เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี และเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งรัฐบาลจะแจกเงินได้ตามกรอบเวลาไม่เกิน พ.ค. 2567
# "ประชาธิปัตย์" ผลัดใบ "สองขั้ว" แตกหัก
เป็นเรื่องที่ยืดเยื้อมานานสำหรับการเลือกหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) ชุดใหม่ ของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" สส. บัญชีรายชื่อ ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรค เพื่อรับผิดชอบที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถได้ที่นั่ง สส.ในสภาฯ 50 ที่นั่งจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนพ.ค.66
พรรคประชาธิปัตย์ จัดการประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี เพื่อเลือก กก.บห. ชุดใหม่ แต่ด้วยความที่พรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบันเปลี่ยนไปมีทั้งเลือดเก่า เลือดใหม่ และกลุ่มต่างๆ ไม่เป็นเอกภาพเหมือนเมื่อก่อน จนทำให้ในการประชุมพรรคทั้งสองครั้งล่มไม่เป็นท่า ทั้งวันที่ 9 ก.ค. และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 66
เมื่อองค์ประชุมล่มเป็นหนที่ 2 ทำให้ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” รักษาการเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมสส. ออกมาแถลง ประณามพฤติกรรมของสมาชิกที่ทำให้องค์ประชุมล่มว่า เป็นพฤติกรรมที่เลวร้าย สร้างความเสียหาย ถ้ามีจิตสำนึกต้องมาช่วยให้พรรคเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่เล่นเกมการเมือง เพื่อตอบสนองความต้องการของใครบางคน ซึ่งครั้งนี้กลุ่มนักการเมืองในพรรคฝ่าย “อำนาจใหม่” กับกลุ่มผู้อาวุโสในพรรคฝ่าย “อำนาจเก่า” เปิดศึกวิวาทะอย่างดุเดือด
ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2566 พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดประชุมอีกครั้งและได้ กก.บห.ชุดใหม่ที่มี “เฉลิมชัย” นั่งหัวหน้าพรรค โดยได้รับการสนับสนุนจาก "สส. กลุ่ม 21" หรือกลุ่ม "เพื่อนเฉลิมชัย"
แม้พรรคจะได้ กก.บห.ชุดใหม่ แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของการ “แตกหัก” ระหว่างสองขั้วอำนาจในพรรคอย่างรุนแรงโดยระหว่างที่มีการเสนอชื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคนั้น “ชวน หลีกภัย” สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรค ได้เสนอชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรค เข้าชิงด้วย แต่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อ อภิสิทธิ์ ประกาศถอนตัวออกจากการเป็นแคนดิเดต พร้อมประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ทั้งยังมีอดีต สส.หลายคนในพรรคที่ทยอยลาออกตามมาเกือบ10 ราย
ขณะที่ล่าสุดฝั่ง เฉลิมชัย ได้ประกาศขับเคลื่อนพรรคประชาธิปัตย์ให้ทำหน้าที่ฝ่ายค้านสร้างสรรค์ ปรับทัพใหม่เพื่อหวังสร้างความเชื่อมั่นแต่อีกด้านหนึ่งพบว่ามีกระแสข่าวลือเรื่องพรรคประชาธิปัตย์ เตรียมเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย เมื่อการปรับครม.รอบหน้ามาถึง
# "พิธา" ไปไม่ถึงฝัน “ด้อมส้ม” ใจร้าว
ถือเป็นปรากฎการณ์ยิ่งกว่าไอดอลเกาหลีมาแสดงคอนเสิร์ตที่ไทย เพราะเมื่อ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนเดตนายกรัฐมนตรีไปลงพื้นที่หาเสียงที่จังหวัดไหน จังหวัดนั้นก็แทบแตก
แม้ช่วงก่อนลงคะแนนเลือกตั้งไม่กี่วัน เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ จะยื่นหนังสือคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบว่า พิธา มีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) หรือไม่ เนื่องจากมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน)
"พรรคก้าวไกล" ก็ยังชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายกวาดคะแนนมาได้ถึง 14 ล้านคะแนน ทำให้ "พิธา" ขึ้นแท่นว่าที่นายกฯคนที่ 30 ทันที จนเกิดกระแส แฮชแท็ก "ส้มรักพ่อ" "ด้อมส้ม" ส่วนตัว พิธา ก็เดินสายเรียกความเชื่อมั่นทั้งจากประชาชน กลุ่มแฟนคลับ ภาคธุรกิจ และเชื่อมสัมพันธ์จากพรรคการเมือง แม้กระทั่ง สว. ให้มาสนับสนุนเป็นนายกฯ
แต่เส้นทางการเป็นนายกฯ ของพิธา ไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะในการโหวตนายกฯ รอบแรกปรากฎว่าเสียงไม่ถึงครึ่งหนึ่งของสภาฯ พอการโหวตนายกฯ ครั้งที่สอง พิธา เจอศึก 3 ด้าน ทั้งศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ กกต. พร้อมสั่งให้ พิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่ และในที่ประชุมร่วมของรัฐสภาที่การเสนอชื่อ พิธา เป็น นายกฯ ก็กลายเป็นญัตติต้องห้าม ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 41 ทำให้ชื่อพิธาถูกตีตกไป ส่วนศึกด้านสุดท้ายจาก พรรคเพื่อไทย ที่แปรเปลี่ยนเป็นศัตรู และกลายเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลเสียเอง
วันนี้แม้ พิธา ไม่ได้เป็นนายกฯ อย่างใจหวัง แต่พิธา ก็ยังเดินสายพูดคุยกับบุคคลต่างๆ รวมถึงการขึ้นเวทีรับรางวัล TIME 100 Next ประจำปี 2023 ที่ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 100 ผู้นำสร้างการเปลี่ยนแปลงผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต





