หลังจาก เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) ประกาศไม่ยุบ กอ.รมน. ระหว่างการเยือนสวนรื่นฤดี กองบัญชาการกอ.รมน. ประชุมมอบนโยบายครั้งแรก ก็ยิ่งถูกโจมตีหนักขึ้น ว่า เกรงใจทหาร กลัวทหาร  เอาใจทหาร ไม่กล้ายุบ กอ.รมน.

ถึงขั้นที่นายเศรษฐา ต้องโพสต์ในโซเชียลมีเดีย ชี้แจงด้วยตนเอง ปฏิเสธว่า ไม่ได้เอาใจทหาร แต่ เอาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง โดยจะปรับภารกิจ ให้ เน้นเรื่อง การพัฒนา การช่วยประชาชน

โดยมีแกนนำพรรคก้าวไกล และสื่อมวลชน วิพากษ์วิจารณ์ ตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้งบประมาณกว่า 7,000 ล้าน ที่ไม่คุ้มค่าและไม่มีผลงาน จน เศรษฐา ต้องชี้แจง ในเอ็กซ์หลายครั้ง จึงทำให้ “บิ๊กต่อ” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ. ซึ่งเป็นรอง ผอ.รมน. ด้วย สั่งการให้ ทีม กอ.รมน. ช่วยชี้แจง แทนนายกฯ ด้วย

จากนั้น กอ.รมน. ก็ตั้งโต๊ะแถลงสู้ และ ตามมาด้วยการสัมมนา พรบ.ความมั่นคง 2551 เพื่อตอบโต้ ฝ่ายการเมือง

นำทีมโดย พล.อ. ดร. นพนันต์ ชั้นประดับ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. หัวหน้าสำนักงาน รอง ผอ.รมน. และ เพื่อน ตท.23 ของ พล.อ.เจริญชัย พร้อม พล.ท. ดร. ดนัยวัฒนา รุ่งอุทัย ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษทบ. และ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษก กอ.รมน.

หลังพรรคก้าวไกล เสนอร่าง พ.ร.บ.ยกเลิก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 2551 และมีการสำรวจความคิดเห็น และปลุกกระแสโจมตี เศรษฐา โดยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ กับกองทัพ ในฐานะตัวแทนของ ขั้วอนุรักษ์นิยม

โดยที่ กอ.รมน.ยืนยันว่า มีบทบาทหน้าที่ชัดเจนตามกฎหมาย ไม่ได้ซ้ำซ้อน การจัดอัตรากำลังพลเป็นโครงสร้างผสม ทหารพลเรือน แบ่งอัตราอย่างชัดเจน การเสนอร่าง ยุบ กอ.รมน. จึงผิดหลักการ เพราะ กอ.รมน. เป็นหน่วยงานเป็นไปตามกฎหมายและหลักการทฤษฎีการจัดองค์การ ที่เป็นแบบสากล  “ไม่มีมีข้อมูลเชิงประจักษ์  ที่ชี้ให้เห็นว่าอำนาจทหารเหนือกว่าพลเรือน  ที่จะนำไปเป็นเหตุผลสู่การยุบ กอ.รมน.”

ที่สำคัญ กอ.รมน.ทำงานแบบ บูรณาการ ทุกส่วนในการแก้ปัญหา ที่มีผู้รับผิดชอบไม่ชัดเจนหรือยังไม่มีผู้รับผิดชอบ กอ.รมน.จึงถือเป็นข้อต่อโซ่ เชื่อมต่อระหว่างหน่วยงาน

ทั้งนี้ เป็นที่รู้กันว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ เศรษฐา ยังไม่มีแผนที่จะยุบกอ.รมน. เพราะใครเป็นรัฐบาล ก็ได้เปรียบ  และคุมกอ.รมน.ด้วย เพราะ นายกรัฐมนตรี เป็น ผอ.รมน. โดยตำแหน่งอยู่แล้ว

อีกทั้งหากย้อนไปดูการจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้วของเพื่อไทย และสายชินวัตร และขั้ว อนุรักษ์นิยม และพรรคของ 3 ป. ก็เป็นเครื่องรับประกันว่าจะไม่มีการรุกไล่ทหาร ล้างบาง แก้แค้นกองทัพ เพราะ จะต้องจับมือกันสู้กับ พรรคก้าวไกล และ ขบวนการล้มล้างสถาบันฯ ด้วยกัน

แม้ในอดีตสมัยเป็นนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร จะเคยยุบกอ.รมน. มาได้สำเร็จแล้ว แต่หลังถูกรัฐประหารปี 2549 กองทัพ ก็ฟื้นชีพ กอ.รมน. ขึ้นมาอีกครั้ง  ด้วย พรบ.ความมั่นคง 2551 ก็ตาม แต่ในเมื่อ ยังจำเป็นต้องอาศัยทหาร ในการสู้ศึกทางการเมืองและการเลือกตั้งในอนาคต กอ.รมน. ก็ยังคง เป็น ประโยชน์ กับฝ่ายรัฐบาล แม้จะไม่สามารถเนรมิตชัยชนะการเลือกตั้งได้ แต่ก็มี รถลาม้าช้าง คน ในการ สนับสนุนการทำงานในพื้นที่ท้องถิ่นในการสร้างฐานเสียงและคะแนนนิยมได้

ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่ เศรษฐา ที่พยายามรักษาความสัมพันธ์และเอาใจกองทัพเท่านั้น แต่ฝ่ายทหารเอง ก็เอาใจ เศรษฐา เช่นกัน เพราะถึงขั้น ทำห้องนอนให้ที่ อาคารศูนย์ประสานข่าวกรองแห่งชาติ สวนรื่นฤดี  เพราะเห็นว่า นายกฯ ก็ทำห้องนอน ที่ตึก ไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล  ด้วย หรือจะมาใช้เป็น  เซฟเฮาส์ ที่นัดหมายหารือความมั่นคงกับผู้นำกองทัพก็เป็นได้

แม้ว่า กอ.รมน. จะถูกมองว่า เป็น กองทัพบกที่ 2 เพราะกำลังพลส่วนใหญ่ จะเป็น ทบ. แม้จะมีทั้ง พลเรือน ตำรวจ ทหาร แต่ ผบ.ทบ เป็น รอง ผอ.รมน. และ เสธ.ทบ. เป็นเลขาฯรมน.  และ รมว.กลาโหม อยู่ใน 23 คณะกรรมการอำนวยการ กอ.รมน. ก็ตาม

ที่สำคัญ โครงสร้างที่ถูกมองว่าเป็นรัฐซ้อนรัฐหรือทหารมีอำนาจเหนือพลเรือนก็คือ กอ.รมน.ภาค  ที่มี แม่ทัพภาค 1-2-3-4 เป็น ผอ.รมน.ภาค คุมผู้ว่าราชการจังหวัด ที่เป็น ผอ.รมน.จังหวัด และยังมีรอง ผอ.รมน.ฝ่ายทหาร ประกบ อยู่ที่ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศด้วย จนถูกเรียกว่าเป็นรองผู้ว่าฯฝ่ายทหาร

ในสถานการณ์ปกติก็มีไว้เพื่อประสานงานกับกองทัพหากต้องการรถลาม้าช้างและกำลังพลไปช่วย งานต่างๆ หรือการแก้ปัญหา ต่างๆ และคานอำนาจ ตรวจสอบฝ่ายพลเรือน แต่แน่นอนว่าในสถานการณ์ทางการเมืองบรรดาพลเรือน ข้าราชการฝ่ายพลเรือนอาจอึดอัดที่มีทหารมาประกบและคุมอยู่  หรือแม้แต่ตำรวจในระดับบัญชาการภูธรภาค ก็ต้องขึ้นอยู่กับแม่ทัพภาค หรือ ผอ.รมน.ภาค โครงสร้าง กอ.รมน. จังหวัด นั้น มี 52 คน  มีทั้ง พลเรือน ตำรวจ และ มีทหาร เกือบ 20 คน  จึงทำให้ในภาพรวมถูกมองว่าเป็น ซูเปอร์ กอ.รมน. ที่เป็น รัฐซ้อนรัฐและ ทหารมีอำนาจเหนือพลเรือนนั่นเอง

อีกทั้งในภาพรวมความสัมพันธ์ระหว่าง รัฐบาลกับกองทัพ เศรษฐากับผู้นำเหล่าทัพ ก็เป็นไปด้วยดี มีการพบปะกันเป็นระยะและมีการพูดคุยติดต่อผ่านโทรศัพท์มือถือ และข้อความ โดยมี “บิ๊กอ๊อบ” พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี  ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นแกนหลักในการประสาน ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำเหล่าทัพ โดยรวมมีความรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน  และคุยกันถูกคอ ตามประสาคนที่จบต่างประเทศ

ในเมื่อ ดีลทางการเมือง คือ พรรคเพื่อไทย จับมือกับ ขั้วอนุรักษ์นิยม เช่นนี้  การล้างบาง เอาคืนทหาร จากความแค้นเคืองเพราะการรัฐประหารก็ต้องชะลอเอาไว้ก่อน

อีกทั้งนายทหารที่เป็นแกนนำรัฐประหารในอดีตก็เกษียณราชการและทยอยพ้นจากอำนาจทางการเมืองไปแล้ว อดีตนายกฯทักษิณ จึงต้อง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการจับมือฝ่ายทหารและสายอนุรักษ์นิยม สู้ศึกทางการเมืองเพื่อรักษาอำนาจรัฐและปกป้องสถาบัน ต่อไปหลังจากที่ทหารเก่าอย่างพี่น้อง3ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” พ่ายแพ้ศึกเลือกตั้ง และยังไม่สามารถที่จะเอาชนะใจประชาชน  ได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ได้ จึงจำเป็นที่จะต้องอาศัยพรรคเพื่อไทย และ ทักษิณ นั่นเอง

การรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพ กับรัฐบาลจึงเป็นสิ่งจำเป็น