วันที่​ 13​ ก.ย.2566-นายสันติ กีระนันทน์ อดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์เพจเฟซบุ๊ก ระบุข้อความ ว่า การแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ผ่านไปแล้ว วันนี้ก็คงจะมีการประชุมครั้งแรกของรัฐบาลใหม่ที่นำโดยคุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

ผมติดตามการประชุมของรัฐสภา 2 วันที่ผ่านมา แบบไม่ได้เกาะติดมากนัก แต่ประเด็นสำคัญต่าง ๆ ก็ไม่ได้พลาดจนถึงขนาดไม่ทราบความเคลื่อนไหว อย่างไรก็ดี นโยบายที่แถลงโดยนายกรัฐมนตรีนั้น ก็เป็นเรื่องกว้าง ๆ เป็นส่วนใหญ่ แต่นโยบายสำคัญที่ดูจะ commit มาก ๆ ก็คือ เรื่องการแจก digital money จำนวน 10,000 บาท น่าจะเป็นภาระทางการคลังประมาณ 560,000 ล้านบาท ซึ่งจะออกมาเป็นรูปแบบใดก็ยังไม่ชัดเจน และที่ไม่ชัดเจนมากกว่าก็คือ แหล่งที่มาของเงินที่จะนำมาแจก

เงินจำนวน 10,000 บาท นั้น นับว่าเป็นจำนวนมากสำหรับคนส่วนใหญ่ของประเทศ ในขณะที่ผู้มีอันจะกิน อาจจะรู้สึกว่า เงินจำนวน 10,000 บาท เป็นจำนวนไม่มากนัก ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่จะเป็น relative value (คล้าย ๆ กับที่เรียนใน financial economics เรื่อง risk aversion ในตระกูล relative risk aversion) 

effectiveness ของมาตรการตามนโยบายดังกล่าว ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะเป็นอย่างไร ก็คงต้องติดตามดูต่อไป ซึ่งผลที่จะเกิดนั้น ก็คงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของการแจกเงิน เพื่อให้ผู้รับเงินนั้น ใช้เงินตามเป้าประสงค์ที่แม่นยำ

อย่างไรก็ดี ความเห็นของผมนั้น อยู่ในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว  เพราะผมเห็นว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ ไม่ใช่เวลาที่จะกระตุ้น มีสัญญาณการฟื้นตัวแบบช้า ๆ ท่ามกลางความเสี่ยงของบริบทสากล ดังนั้น ควรจะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบรักษาเสถียรภาพ พร้อมกับสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการสร้างงาน สร้างความสามารถในการหารายได้ และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ให้เป็นเศรษฐกิจใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มระดับสูง มากกว่าเป็นเศรษฐกิจเก่า อย่างที่ประเทศไทยเป็นอยู่ และพึ่งพาปัจจัยภายนอกอย่างมากด้วยสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มน้อย

แนวคิดของผม คงเป็นแนวคิดค่อนข้างระมัดระวัง (conservative) ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าถูกต้อง แนวนโยบายของรัฐบาลที่ออกมา อาจจะถูกต้องและเหมาะสมมากกว่า ... ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น

ถ้าจะลองคิดดู ก่อนวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่มีการเลือกตั้งทั่วไปนั้น แต่ละพรรคการเมือง (ที่ได้รับชัยชนะในภายหลัง) ล้วนแล้วแต่แข่งกันเสนอนโยบาย "แจก" ในรูป "ประชานิยม" และ "รัฐสวัสดิการ" กันอย่างมากมาย ซึ่งน่าแปลกใจที่พรรคการเมืองเหล่านั้น อยู่ข้างเสรีนิยม (liberalism) แต่ทุ่มเททำนโยบายแบบสังคมนิยม (socialism) ออกมาขาย และตอบไม่ได้ในเชิงปฏิบัติ (practical) ว่านโยบายเหล่านั้นที่ใช้เงินมหาศาล จะเอาเงินมาจากไหน แม้จะมีบางพรรค พยายามอธิบายถึงแหล่งเงินที่จะนำมาทำนโยบาย เช่น ตัดงบประมาณทหาร ลดงบประมาณที่ไม่จำเป็น จะไม่กู้เพิ่ม เป็นต้น แต่สำหรับคนที่คลุกคลีอยู่กับงบประมาณของประเทศ ก็จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ... แต่สำหรับประชาชนทั่วไป ดูจะเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดีกับความเฉลียวฉลาดและมุ่งมั่นที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูดีขึ้น ... ทั้งที่แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ ซึ่งในที่สุด คำประกาศเป็นนโยบายเหล่านั้น ก็คือ โฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) นั่นเอง

เราคงยังต้องวนเวียนกับฝันร้ายอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แม้มีความพยายามโทษกันว่า กกต. ทำงานไม่ดี ทำไมไม่หยุดนโยบายขายฝันที่เป็นโฆษณาชวนเชื่ออย่างนั้น หรือ กฎหมายเข้มข้นไม่พอที่จะทำให้นักการเมือง (ที่ไม่ดี) หลอกลวงประชาชน ฯลฯ ... แต่ผมคิดว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เริ่มต้นที่ตัวเราเองครับ ที่จะไม่ยอมถูกหลอก

#เพ้อเจ้อรำพึง