กกต. เผยตัวเลขผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า 91.83 % ชี้เตรียมตั้งกรรมการเพื่อวินิจฉัยซองใส่บัตรที่มีปัญหา ยันไม่เป็นบัตรเสีย-คะแนนเสียงไม่ตกน้ำ เมินถูกฟ้องเลือกตั้งล่วงหน้าผิดพลาด ด้าน"สมศักดิ์" จี้กกต.ตรวจสอบ กลุ่มไอโอ ปลุกปั่น "รทสช.บอกภาคใต้กระแสตอบรับ"พี่ตู่"พุ่งไม่หยุด มั่นใจกวาดเก้าอี้ส.ส.เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลแน่นอน

     เมื่อวันที่ 8 พ.ค.66 ที่ศูนย์ปฏิบัติการคัดแยกบัตรเลือกตั้งล่วงหน้า ส.ส. ที่ลงคะแนนแล้ว  ไปรษณีย์เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), นายกิตติพงษ์ บริบูรณ์ รองเลขาธิการ กกต. ,นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมเปิดห้องสังเกตการณ์การคัดแยกซองในการเลือกตั้ง ส.ส.ล่วงหน้า ซึ่งมี CCTV มากกว่า 25 ตัว และมีจอ Dashboard ในการติดตามการคัดแยก และจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนำในทุกเส้นทางที่รถไปรษณีย์ใช้ในการขนส่งบัตร รวมถึงมีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังการคัดแยกตลอด 24 ชั่วโมง 

     โดย นายแสวง กล่าวว่า ภาพรวมผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าโดยประมาณมีทั้งสิ้น 91.83% แบ่งเป็น มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขต 2,014,903 คน จากจำนวนผู้ลงทะเบียน 2,235,830 คน คิดเป็น 91.83% และผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าในเขต 57,362 คน จากจำนวนผู้ลงทะเบียน 67,086 คน คิดเป็น 94.37% และในส่วนเลือกตั้งกลางสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 2,124 คน จากจำนวนผู้ลงทะเบียน 2,356 คน คิดเป็น 90.15% 

     ส่วนไปรษณีย์ไทยได้เปิดเผยระบบติดตามการรับเข้าบัตรเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจากจำนวนการขนส่งบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์ทั้งหมด 473 งาน ถึงศูนย์ไปรษณีย์หลักสี่แล้ว 452 งาน คิดเป็น 95.56% เปิดถุงคัดแยกแล้ว 83 งาน โดยรับเข้าระบบขนส่งเป็นจำนวน 57 งาน คิดเป็น 12.05% และอยู่ในระหว่างขนส่งไปยังกกต.ประจำจังหวัดต่างๆ 20 งาน คิดเป็น 4.23%  ซึ่งมีรายงานในส่วนของการรับบัตรเลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักร โดยไปรษณีย์ไทยเปิดเผยว่ามีการได้รับบัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร จากหน่วยเลือกตั้งในต่างประเทศแล้ว เป็นจำนวน 71 หน่วย จาก 94 หน่วย คิดเป็น75.53% โดยสรุปเป็น 53 ประเทศ จากทั้งหมด 66 ประเทศ คิดเป็น 80.3%  

     สำหรับขั้นตอนการคัดแยกซองใส่บัตรเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต ในเขต และนอกราชอาณาจักรนั้น ไปรษณีย์ไทย เปิดเผยว่า จะมีการใช้ถุงสีฟ้าในการคัดแยกซองใส่บัตรเลือกตั้งใหม่ และทำการเช็คยอดโดยจะมีการเปิดนับเพื่อตรวจสอบ 3 รอบ ว่าจำนวนซองใส่บัตรถูกต้องตามบัญชีต้นขั้วหรือไม่ เสร็จแล้วจึงเรียงใส่กระบะ เพื่อบรรจุลงถุง ที่มีการเฝ้าระวังติดตาม และคัดแยกไปสู่เขตเลือกตั้งจำนวน 400 เขต ทั่วประเทศ 

     ไปรษณีย์ไทยยังระบุอีกว่าตามแผนที่คาดการณ์ไว้ บัตรเลือกตั้งล่วงหน้าจะเข้ามาสู่ระบบของไปรษณีย์กลางตั้งแต่คืนของวันเลือกตั้งล่วงหน้า หรือวันที่ 7 พ.ค. ภายหลังการปิดหีบ ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการคัดแยก ในวันที่ 7-10 พ.ค. และจะพร้อมส่งมอบไปที่เขตเลือกตั้งทั้ง 400 เขต ในวันที่ 11-12 พ.ค. และในส่วนการคัดแยกบัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ก็จะมีขั้นตอนที่คล้ายกับการคัดแยกบัตรเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต และในเขต แต่จะมีกรรมการจาก 3 ฝ่ายได้แก่ กรมการกงสุล กกต. และไปรษณีย์ไทย ทำงานร่วมกัน 
 

   โดยในระหว่างการคัดแยกซองใส่บัตรเลือกตั้ง ตั้งแต่กระบวนการรับซองมาที่ไปรษณีย์ไทย จะต้องมีการตรวจสอบยอดซองที่ได้รับ กับจำนวนผู้มาใช้สิทธิจากต้นขั้วในแต่ละหน่วยเลือกตั้ง ที่รายงานเข้ามาที่กกต. ตอนปิดถุงจะมีการบันทึกฉบับของซองอีกครั้ง และตัวเลขของทั้งจำนวนต้นขั้ว จำนวนซองใส่บัตรจะกระทบยอดกันโดยอัตโนมัติทำให้ไม่เกิดเหตุผิดปกติ อย่างการมีบัตรเพิ่ม-ลด แต่อย่างใด
   

 นายแสวง กล่าวเพิ่มเติมว่า ต้องขอบคุณผู้มาใช้สิทธิ์ที่มาด้วยแรงศรัทธาประชาธิปไตย ซึ่งสำนักงานกกต.สัญญาว่าจะรักษาทุกเสียงที่ประชาชนได้ลงคะแนนไว้ ส่วนกรรมการประจำหน่วย และอนุกรรมการประจำเขต ซึ่งการทำงานอาจจะมีการผิดพลาดบ้าง แต่ขอบคุณที่อดทนทั้งต่อสภาพอากาศ และแรงเสียดทานทางการเมือง ทำให้งานรวมกว่า 16 ชั่วโมง รวมถึงประชาชนที่ร่วมกันตรวจสอบการทำงานของ กปน. และกกต. ซึ่งมีทั้งเรื่องจริง เรื่องเท็จ แต่สั่งให้ผอ.ทุกจังหวัด รายงานเข้ามาทุกเรื่องที่ปรากฏเป็นข่าว ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร มีการแก้ไขอย่างไร  เป็นเรื่องดี ที่สิ่งที่เราทำอยู่นั้นอยู่ในสายตาของประชาชนเสมอ 
 

     ยอมรับว่าขั้นตอนการวินิจฉัยยุ่งยาก แต่ก็มีทีมงานที่ถูกตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะให้มาตรวจสอบเรื่องนี้ นี่คือระบบการตรวจเช็ก ซึ่งมีหลายขั้นตอน อย่างน้อยบัตรต้องเท่ากัน ยืนยันว่า จะรักษาทุกคะแนนเสียงของประชาชนตามเจตนารมณ์ที่ได้ลงคะแนนเอาไว้

     นายแสวง กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 14 พ.ค. จะไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีก โดยในวันดังกล่าว การบริหารการเลือกตั้งจะจัดการได้ง่ายกว่านี้ เพราะไม่ต้องมีซองสำหรับส่งไปตามเขตเหมือนการเลือกตั้งล่วงหน้า รวมถึงมีหีบให้หย่อนบัตรทั้ง 2 ใบ แยกเป็นแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งจะทำให้ประชาชนไม่เกิดความสับสน ทั้งนี้ เรื่องหีบไม่ใช่ประเด็นเพราะถ้าหากจ่าหน้าซองถูกต้อง ก็จะไม่เกิดความผิดพลาด ทางกกต. ได้ตระหนักเรื่องนี้ และกำชับให้มีการตรวจสอบแล้ว 
     

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอ ซึ่งส่วนใหญ่พบว่ามีการกรอกรหัส 3 ตัวท้ายผิด นายแสวง กล่าวว่า เขตเลือกตั้งนั้นคิดว่าประชาชนทราบ แต่รหัสเขต 3 ตัวท้าย ไม่รู้ว่าประชาชนเข้าใจหรือเปล่า อาจจะเข้าใจว่า กปน.ต้องกรอกรหัสไปรษณีย์ที่ตนเองมีภูมิลำเนาอยู่ ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของ กปน. แต่การที่เราออกแบบการจ่าหน้าซอง ให้เขียนถึง 3 ชั้น เพื่อที่เวลาเกิดปัญหาก็จะสามารถตรวจสอบได้ และสามารถส่งบัตรเลือกตั้งนั้นส่งไปยังหน่วยเลือกตั้งที่ประชาชนผู้มีสิทธิ์อยู่ ดังนั้นยืนยันว่า แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตการทำงานของกปน. แต่ยืนยันว่าบัตรทุกใบไม่เป็นบัตรเสีย คะแนนเสียงไม่ตกน้ำ 
 

   เมื่อถามถึงกรณีมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลมีเดีย นายแสวง กล่าวว่า ในหลายเขตของการเลือกตั้ง กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) ไม่ได้ระบุเขต หรือกรอกรหัสเขตเลือกตั้งก่อนหย่อนลงในหีบ นายแสวง กล่าวว่า หากซองใดกรอกข้อมูลไม่ครบ ในศูนย์ปฏิบัติการคัดแยกจะมีโต๊ะสำหรับเจ้าหน้าที่ กกต. ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยซองแต่ละฉบับที่มีความไม่ชัดเจน ส่วนจะมีซองที่ไม่ได้กรอกอะไรเลยหรือไม่ คาดว่าไม่น่ามี เพราะก่อนการจัดส่งให้ไปรษณีย์ต้องมีการเช็คกับต้นขั้วที่หน่วยอยู่แล้ว

     เมื่อถามว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังประชาชนพบความผิดพลาดหลายอย่างในการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า และแสดงความไม่พอใจ กกต. นายแสวง กล่าวว่า เป็นความรู้สึกของประชาชนที่มองเราแบบนั้น เมื่อถามย้ำว่า กังวลหรือไม่ว่าจะมีคนนำความผิดพลาดนี้ ไปฟ้องต่อศาลเพื่อให้การเลือกตั้งนี้เป็นโมฆะ นายแสวง กล่าวว่า ตนคะเนอย่างนั้นไม่ได้ แต่สั่งให้ผอ.จังหวัดทุกจังหวัดรายงานทุกเหตุการณ์ ทั้งการติดเอกสารผิด เอกสารผิดแต่ยืนยันว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ สามารถเดินหน้าการเลือกตั้งต่อไปได้  ตนเข้าใจว่าเรื่องนี้ประชาชนมีความกังวล จึงจะประสานกับไปรษณีย์ และแจ้งให้ทราบต่อไป


     เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล ออกมาระบุว่าจะฟ้องร้องหาก กกต. ทำงานความผิดพลาด นายแสวง กล่าวว่า เป็นสิทธิของพรรคการเมืองแต่ละพรรค
     

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรมว.ยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกรณีกระแสข่าวไอโอหรือยุทธการสื่อสาร ปลุกปั่นยุยง ให้เกิดความขัดแย้ง ดิสเครดิตทางการเมืองในโซเชียลมีเดีย ว่า ถือเป็นเครื่องมือที่น่ากลัว หากมีการนำมาใช้ในการเลือกตั้ง  โดยจากข่าวที่เกิดขึ้น พบว่ามีไอโอทั้งจากส่วนราชการและพรรคการเมืองบางพรรค นำมาใช้เป็นนักรบไซเบอร์ คอยคอมเมนต์โจมตีพรรคการเมืองฝั่งตรงข้าม ทำคอนเทนต์โจมตี ดิสเครดิต พรรคการเมืองคู่ต่อสู้ คอยแชร์และแชร์ข้อมูลด้านบวกของตนเอง ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับความจริง ทำให้สังคมหลงเชื่อสิ่งที่ไม่ตรงกับความจริง และปั่นโพลต่างๆ ที่รับฟังความเห็นของประชาชน ทางออนไลน์ ให้เชื่อว่ากระแสดีจนเกิดเป็นอุปทานหมู่ โดยคนที่ทำจะใช้ยูสเซอร์ที่ไม่มีตัวตน และมียูสเซอร์จำนวนมาก และไม่ต้องแจ้งบัญชีรายจ่ายของพรรค


       "ไอโอคือเครื่องมือที่น่ากลัว หากใช้ในทางที่ผิด ก็จะสามารถทำลายคนที่เป็นเป้าหมายในโลกออนไลน์ได้ เพราะสามารถใช้โทรศัพท์ 10-20 เครื่อง ในการแชร์ข้อมูลได้พร้อมกันและรวดเร็ว สามารถปั่นกระแสความนิยมที่ไม่เป็นความจริงได้ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ยังคอยทำร้ายคู่แข่งให้คนในสังคมออนไลน์เกิดความเข้าใจผิด มีการตัดต่อคอนเทนต์ปลายเปิดให้คนเข้ามาต่อว่าโจมตี  เรื่องนี้ถือเป็นการทำงานใต้ดินและเป็นการชกใต้เข็มขัด ทำลายความนิยมพรรคการเมืองคู่แข่ง" 


     นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ดังนั้นตนจึงต้องร้องขอไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ความสำคัญในเรื่องนี้และตรวจเช็กโดยด่วนว่าใครเป็นคนทำ มีความเชื่อมโยงถึงกลุ่มใด ซึ่งการทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการกระทำผิดหมิ่นประมาทและนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และผมมั่นใจว่าเรื่องนี้กกต. จะไม่ปล่อยผ่านให้สังคมเกิดข้อกังขา


    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย(ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของกกต. ในการเลือกตั้งล่วงหน้า ว่า ตน ไม่ได้สนใจเรื่องนอกพรรคเลย เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้จนจำไม่ได้แล้วว่าไปไหนบ้าง ตอนนี้ลงพื้นที่อย่างเดียว ไม่ได้ติดตามข่าวอื่น ซึ่งในส่วนของพรรคภูมิใจไทยลูกพรรคไม่ได้ติดต่อเรื่องใดๆ มาที่ตน ว่าพรรคภูมิใจไทยจะมีความได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไร วันนี้คงไม่คิดเรื่องอย่างนี้แล้ว เพราะต้องคิดอย่างเดียวว่าจะต้องทำให้ประชาชนมั่นใจและเลือกเขาเข้ามา


     ผู้สื่อข่าวถามว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายพรรคภูมิใจไทยมีหมัดเด็ดในการหาเสียงอย่างไร หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า เรานำเสนอนโยบายที่มั่นใจว่าเป็นประโยชน์กับประชาชน เมื่อถามว่า ขณะนี้มีกระแสข่าวแบ่งแยกและมีขั้วเก่าขั้วใหม่เกิดขึ้น นายอนุทิน กล่าวว่า "กระแสมันมีคนสร้างขึ้นมา  กระแสถูกสร้างโดยคน ผมคิดว่าประชาชนแยกแยะออกว่า ไปเชื่อในข้อมูลใดแล้ว เขาได้ประโยชน์อะไรหรือไม่ หรือทำให้เสียประโยชน์อะไร เขาแยกแยะออก ตอนนี้เหมือนไม่ใช่เรื่องของการเมือง คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ก็เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองเยอะแยะไปหมด 


     ส่วนการที่จะบอกว่าไม่เอาพรรคนั้นไม่เอาพรรคนี้ หรือต้องการจับมือกับพรรคนั้นพรรคนี้ก็ต้องถามว่า พรรคการเมืองเป็นของคนใดคนหนึ่งหรือเปล่า เข้ามาได้มามีบทบาท ก็เพราะประชาชนเลือกมา ดังนั้นพรรคการเมืองเป็นของประชาชน จะพูดอะไรแทนประชาชน ขอให้เกรงใจประชาชนบ้าง บอกว่าไม่จับมือกับพรรคนั้นพรรคนี้ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองมีอำนาจในการพูดเช่นนั้นหรือไม่ ถามประชาชนหรือยัง  


     ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีพรรคการเมืองหาเสียง ด้วยประเด็นการเปลี่ยนประเทศและไม่ต้องการให้เปลี่ยน นายอนุทิน กล่าวว่า การหาเสียงด้วยวาทกรรม ไม่นำพาประเทศไปไหน จะเปลี่ยนประเทศอย่างไร จะเปลี่ยนให้คนเคยรักกันไปเกลียดกันอย่างนั้นหรือ แล้วอย่างนี้ควรเปลี่ยนหรือไม่ เปลี่ยนของที่มีดีอยู่แล้วทุกคนมีความสุข ร่มเย็น รู้สึกดีที่มีสถาบัน คอยดูแลประเทศนี้มาเป็น 100 ปี แล้วจะเปลี่ยนให้ไม่มี ขนาดปี 2475 ยังเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นต้องคิดให้ดีๆ จะคิดเพียงแค่เอามันไม่ได้ นี่เป็นเรื่องของบ้านเมือง    


     นายธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) กล่าวถึงกระแสตอบรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมกากำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค และแคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ จากการลงพื้นที่หาเสียงจ.กระบี่และภูเก็ตว่าประชาชนในพื้นที่ให้การตอบรับพล.อ.ประยุทธ์และพรรครวมไทยสร้างชาติ ตอกย้ำกระแสความนิยมในตัวพล.อ. ประยุทธ์ในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งจากผ