วันที่ 21 มีนาคม 2566 ภายหลังจากที่สื่อมวลชนหลายสำนักรายงานว่า​บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ​ GULF ได้มีหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าในวันที่ 20 มีนาคม 2566​ บริษัท Pak Lay Power Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่​ GULF​ และ SHK Sinohydro บริษัทในเครือ ​POWERCHINA รัฐวิสาหกิจ​ของจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ​ Pak Lay หรือโครงการเขื่อนปากลาย ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ​(Power Purchase Agreement-PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการลงนามในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง

ทั้งนี้โครงการสร้างเขื่อนปากลายกั้นแม่น้ำโขงมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ โดย​ GULF ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 40 และ SHK ถือหุ้นร้อยละ​ 60​ โดยมีระยะเวลาสัญญา​ 29 ปี​ อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ย 2.6989 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง​ มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่​ 1 มกราคม 2575​ โดยจะสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงที่แขวงไซยะบุรี ประเทศลาว ห่างจากพรมแดนไทยลาว ที่ อ.เชียงคาน จ.เลย ไปทางเหนือราว 100 กิโลเมตร ทำให้ชาวบ้านริมแม่น้ำโขงในภาคอีสานของไทยรู้สึกมีความกังวลอย่างยิ่งต่อผลกระทบข้ามพรมแดนที่กำลังจะเกิดขึ้น

นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ กล่าววถึงการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในครั้งนี้ว่า รู้สึกผิดหวังอย่างมากกับการทิ้งทวนก่อนยุบสภาของรัฐบาลนี้ ตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมาภาคประชาชนได้ทักท้วงตั้งแต่เริ่มกระบวนการรับฟังความคิดเห็น และกระบวนการ PNPCA ตามข้อตกลงแม่น้ำโขง โดยคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง Mekong River Commission (MRC) ของทั้ง 2 โครงการเขื่อน และได้ส่งหนังสือทักท้วงไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง อาทิ รัฐบาล นายกรัฐมนตรี คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ประธานกรรมการพลังงานแห่งชาติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ. ) และยังร้องเรียนไปยังคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ในสภาผู้แทนราษฎร ในประเด็นที่ประเทศไทยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบเซ็น PPA ซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศในช่วงระยะเวลา 10 ปีนี้ และขณะที่ประเทศไทยมีไฟฟ้าสำรองเกินกว่า 50% ไปมากแล้ว ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ไฟฟ้าของไทยมีราคาแพงขึ้นอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อประชาชนไทยทุกคน เป็นภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนระยะยาว

“ผมรู้สึกผิดหวังจริง ๆ กับรัฐบาลนี้ ที่ทิ้งทวนสร้างภาระค่าไฟฟ้าให้ประชาชนอีก การซื้อไฟฟ้าเพิ่มจาก 2 เขื่อนคือเขื่อนปากลายและเขื่อนหลวงพระบาง บนแม่น้ำโขง สะท้อนให้เกิดคำถามว่า ใช่หรือไม่ที่รัฐบาลนี้หนุนและเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจพลังงาน จนละเลยภาระการดูแลค่าครองชีพของประชน ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรจะดูแลและควบคุม เมื่อเกิดสถานการณ์ค่าไฟฟ้าแพงสูงสุดในรัฐบาลนี้ และสะท้อนให้เห็นว่าการมีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การมีกรรมการด้านนโยบายที่ดูเรื่องพลังพลังที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ไม่ได้สนใจข้อทักท้วงของภาคประชาและฝ่ายต่างๆ ไม่ปกป้องผลประโยชน์ประชาชนแม้แต่น้อย เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง ที่ผ่านมาภาคประชาชนได้ติดตามข้อมูล รณรงค์และทักท้วงตามกระบวนการแล้วทุกขั้นตอนแล้ว” นายหาญณรงค์กล่าว

นายหาญณรงค์กล่าวว่า ขอเรียกร้องไปยังหน่วยงานอีกครั้งว่า ต้องทบทวนการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และชะลอหรือยกเลิก PPA ทั้ง 2 โครงการ และควรมีนโยบายดูแลประชาชน ไม่อุ้มธุรกิจพลังงาน และยกสัญญาที่ผูกมัด เพื่อมิให้เป็นภาระค่าไฟฟ้าของประชาชน

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล และอดีตประธานกมธ.การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร  กล่าวว่ารู้สึกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นแน่ๆ ในการลงนามซื้อขายไฟครั้งนี้ เพราะที่ผ่านมา กมธ.พยายามทักท้วงมาโดยตลอดว่าแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ที่ควรออกมาตั้งแต่ปี 2565 แต่ขณะนี้ก็ยังไม่ออก  เราได้โต้แย้งทั้ง กฟผ.และกระทรวงพลังงาน เพื่อให้กำลังการผลิตไฟฟ้าสอดคล้องกับแผนใหม่ซึ่ง PDP ก็ยังไม่คลอด แต่กลับไม่รอแผนใหญ่และชิงลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเขื่อนแม่น้ำโขงทั้งๆ ที่มีเสียงต่อต้าน เพราะไฟฟ้าสำรองของไทยมีอยู่ล้นระบบ ทำไมจึงต้องทำสัญญาซื้อขายเพิ่ม

“สุดท้ายเขาก็ชิงลงนามกันในช่วงที่กำลังยุบสภาและแผน PDP ตัวใหม่ก็ยังไม่ออก แสดงพิรุธบางอย่างเพราะที่เร่งรีบ ถ้านโยบายนี้สอดคล้องกับแผน ทุกอย่างก็ไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน สุดท้ายคำตอบที่จะให้ชาวบ้านในลุ่มน้ำโขง ว่าจะเยียวยาเขาอย่างไร ชีวิตเขาจะเปลี่ยนอย่างไร ก็ยังไม่มีคำตอบ กมธ.ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานให้ชะลอ แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

อนึ่งก่อนหน้านี้ กฟผ. ได้มีหนังสือลงวันที่ 8 มีนาคม ถึงเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง เรื่องชี้แจงเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนบนแม่น้ำโขง มีเนื้อหาสำคัญส่วนหนึ่งระบุว่า ตามที่เครือข่ายฯมีหนังสือถึงกฟผ. เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับ 1.สถานะของการทำสัญญาและลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโครงการปากแบง ปากลาย และหลวงพระบาง 2. ข้อมูลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน การเยียวยา และการกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนข้ามพรมแดนนั้น กฟผ.ชี้แจงดังนี้ ข้อ 1 สถานะของการทำสัญญา โครงการหลวงพระบาง ลงนามสัญญาฯ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ข้อ 2 การศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดน โครงการปากแบงและปากลาย ได้จัดทำรายงานฯ โดยบริษัท National Consulting Group ในปี 2558 และ 2563 (ตามลำดับ) และอยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนเพิ่มเติมโดยบริษัท TEAM Consulting Engineering  

ทั้งนี้เว็บไซต์ของ กฟผ. ระบุข้อมูลสถิติว่า ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 กำลังผลิตรวมทั้งระบบ 49,114.80 เมกะวัตต์ สำหรับความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดระบบเดือนมกราคมเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2566 มีค่าเท่ากับ 25,895.60 เมกะวัตต์ ลดลงจากเดือนที่ผ่านมา 1,229.10 เมกะวัตต์ หรือลดลงร้อยละ 4.53