หมายเหตุ : “อนุชา บูรพชัยศรี” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษรายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ผ่านช่องยูทูบ Siamrathonline ออกอาการเมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม 2565 ได้ระบุถึงแนวทางในการทำหน้าที่ในฐานะ “โฆษกรัฐบาล” ในห้วงที่สถานการณ์ทางการเมืองเต็มไปด้วยความเข้มข้น มีสาระที่น่าสนใจดังนี้

-มีความกังวลหรือไม่ สำหรับการเข้ามาทำหน้าที่โฆษกรัฐบาล ในห้วงที่นายกรัฐมนตรี ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ตรงนี้ต้องการจะสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจอย่างไรบ้าง

ในเรื่องแรก คืออยากจะสื่อสารให้ทราบว่าในเรื่องของระเบียบราชการ การที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยเบื้องต้นที่รับคำร้องแล้วให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  ได้หยุดปฏิบัติหน้าที่ นั้นมีระเบียบรองรับอยู่แล้ว ว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ จะรับหน้าที่เป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นช่องว่างตรงนี้จะไม่เกิดสุญญากาศ ในส่วนของที่เกี่ยวกับทั้งข้าราชการการเมือง ทั้งในส่วนของคณะรัฐมนตรีหรืออื่นๆ หรือแม้กระทั่งข้าราชการประจำเองก็ยังปฏิบัติหน้าที่ปกติอยู่ เพียงแต่ว่าแฟ้มการทำงานการนำเสนออะไรต่างๆก็อาจจะไปที่โต๊ะทำงานของท่านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ในขณะเดียวกันอะไรที่เกี่ยวข้องกับทางด้านกระทรวงกลาโหม ก็จะไปที่พล.อ.ประยุทธ์  ซึ่งตอนนี้ท่านก็ยังดำรงตำแหน่งอยู่ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งท่านเองได้เข้าไปทำงานที่กระทรวงกลาโหม  เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าการดำเนินงานต่างๆไม่มีการสะดุด และอยากที่จะให้ประชาชนได้รับทราบ คือเสียงสะท้อนทั้งจากกลุ่มนักธุรกิจ หรือสถาบันการเงิน นักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือว่าแม้กระทั่งนักลงทุนต่างชาติเอง ตอนนี้ยังมีความเชื่อมั่นอยู่ จากที่ได้รับฟังคำสัมภาษณ์ ในแต่ละส่วนที่มีการนำเสนอในสื่อต่างๆ คิดว่าการที่ดำเนินในปัจจุบันมีเรื่องของระเบียบรองรับอยู่แล้ว งานสามารถเดินต่อไปได้ โดยไม่สะดุด เพราะฉะนั้นการลงทุนหรือการที่จะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยเองก็ยังสามารถดำเนินการได้อย่างมีความมั่นใจ

ดังนั้นจึงอยากขอให้ประชาชนคนไทยรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้วหลีกเลี่ยงที่จะวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องของการที่จะออกมาแนวทางไหนต่างๆเพราะว่าอาจจะสร้างความสับสนได้ ไม่ใช่เฉพาะประชาชนในประเทศไทยอย่างเดียว แต่สื่อในส่วนที่เกี่ยวข้องกับต่างชาติก็กำลังเฝ้าจับตาเราอยู่เหมือนกัน ที่ผ่านมาเราสามารถต่อสู้กับสถานการณ์โควิด มาได้หลายปีแล้ว  เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญตอนนี้คือว่าภาวะเศรษฐกิจของโลกจากความขัดแย้งต่างๆในภูมิภาคต่างๆ

ผมคิดว่าประเทศไทยเองก็น่าที่จะต้องเฝ้าระวังตรงนี้เพื่อที่จะให้บรรยากาศของการค้า การลงทุน รวมไปถึงการท่องเที่ยวกลับมาสู่สภาพปกติก่อนโควิดให้ได้เร็วที่สุด ท่ามกลางในเรื่องของบรรยากาศความขัดแย้งที่จริงๆแล้ว ถ้าเราสร้างบรรยากาศในประเทศไทยเราเองให้มีความรู้สึกว่าเรามีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการที่จะพัฒนาประเทศในการที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวเนี่ยผมคิดว่าประเทศไทยสามารถที่จะไปได้ไกลกว่านี้แล้วก็เร็วกว่านี้ได้อีก

- การกลับเข้ามาทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้กับรัฐบาล นับเป็นครั้งที่ 2 มีเป้าหมายในการทำหน้าที่ตรงนี้อย่างไร

ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณพล.อ.ประยุทธ์  ที่ท่านได้มอบความไว้วางใจให้ปฏิบัติอีกหน้าที่หนึ่งหน้าที่ เพราะเมื่อครั้งที่ผมมีโอกาสได้เข้ามาร่วมงานกับท่านครั้งแรก อยู่ในตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ได้ประมาณ 1 ปี ท่านก็ได้ให้โอกาสได้ทำหน้าที่เพิ่มเติม ในตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งตรงนั้นสามารถที่จะดำเนินงานในหลายๆส่วน ที่คิดว่าเป็นประโยชน์กับทางด้านรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการประสานงานทางการเมือง ได้เข้าไปเป็นวิปรัฐบาล ประสานกับทางด้านทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา

ได้มีโอกาสไปดูเรื่องของนโยบายและยุทธศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะดูเรื่องของข้อสั่งการของท่านนายกรัฐมนตรีที่ท่านได้ลงไปตามพื้นที่ต่างๆหรือในที่ประชุมที่ท่านเป็นประธาน  รวมถึงด้านการต่างประเทศ ติดต่อประสานงานการต่างประเทศทั้งหมดของท่านนายกฯ ด้วย เพราะฉะนั้นจะเห็นว่ารอบนี้ที่กลับมาก็จะได้มีโอกาสได้เห็นภาพรวมมากขึ้น  ซึ่งสุดท้ายแล้วไม่ใช่แค่เพียงสื่อสารในส่วนของรัฐบาลอย่างเดียว แต่ที่สำคัญก็คือทำอย่างไรให้ประชาชนได้ข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วนถูกต้องและชัดเจนที่สุด

-มีการตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงนี้รัฐบาลกำลังขาลง แต่การที่พล.อ.ประยุทธ์ เลือกคุณอนุชา กลับมาทำงานอีก แสดงว่าได้รับความไว้วางใจ แต่ขณะเดียวกัน อาจจะเปลืองตัว

เรื่องเปลืองตัว ผมไม่เคยคิดเลยนะครับ เพราะว่าตั้งแต่ที่มีโอกาสได้เข้ามารับใช้พี่น้องประชาชน ตั้งแต่ตอนเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผมเข้ามาตอนนี้ก็ 2 สมัยแล้ว ตั้งแต่ปี 2550 แล้วก็อีกครั้งคือปี 2554 ต้องบอกว่าไม่ได้คิดว่าเป็นการเปลืองตัว แต่การที่เราเข้ามาได้มีโอกาสได้รับใช้พี่น้องประชาชน ในฐานะที่เป็นตัวแทนของประชาชนในพื้นที่ เพราะว่าตอนนั้นผมลงเขตในกรุงเทพฯ คราวนี้ได้รับอีกบทบาทหนึ่งในการที่จะมาช่วยในส่วนของที่จะประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาล

ผมเชื่อว่าก็เป็นโอกาสที่ดี ที่จะทำในสิ่งที่รัฐบาลได้สื่อในข้อเท็จจริง ให้ประชาชนได้รับรู้ ผมยึดมั่นในเรื่องของการชี้แจงข้อมูลข่าวสารให้ชัดเจนและถูกต้องมากที่สุด เราจะพยายามไม่สร้างความขัดแย้งใดๆเพิ่มเติม เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าโอกาสในเรื่องของการชี้แจงมากกว่า อยากใช้คำว่าจะใช้การที่เป็นโฆษกรัฐบาลชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับทราบ หลีกเลี่ยงสร้างความขัดแย้ง

เพราะพล.อ.ประยุทธ์ ได้พูดตลอดว่าท่านไม่ได้คิดว่าท่านเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร ทำงานทำหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม ตรงนี้ผมก็จะสะท้อนในเรื่องของความมุ่งมั่นตั้งใจของพล.อ.ประยุทธ์ และคณะรัฐมนตรีชุดนี้ รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคที่ร่วมกันอยู่ในครั้งนี้เพื่อที่จะได้เห็นว่าทุกท่านจะทำงานอย่างจริงจังและก็ตั้งใจจริงๆให้กับพี่น้องประชาชนผมก็พยายามที่จะสื่อไปในส่วนของตรงนั้น ส่วนผู้ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองในเรื่องของความคิด ที่อาจจะไม่ตรงกับรัฐบาลจะเป็นฝ่ายค้านก็ดี กลุ่มมวลชนอื่นๆก็ดี อยากให้ฟังข้อเท็จจริงจากโฆษกรัฐบาล มีประเด็นไหนที่อยากให้เกิดความชัดเจนเรายินดีที่จะอธิบายหรือว่าชี้แจงเพิ่มเติม ส่วนถ้าเป็นในเรื่องของหลักการหรือแนวความคิดผมก็คงที่จะห้ามไม่ได้ ที่จะมีการตอบโต้ทางการเมือง

ผมก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะพาดพิง เพราะว่าผมเข้าใจว่าในปัจจุบันประชาชนก็คงจะเบื่อการเมืองในลักษณะที่สาดโคลนใส่กัน หรือพูดจาเสียดสีกัน

-จะมีการปรับปรุงวิธีการนำเสนอ ข้อมูลในส่วนของข้อเท็จจริงต่างๆ ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆที่เป็นช่องทางของรัฐบาล หรือเรื่องของ Content ของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย

แน่นอนว่า ด้านคณะรัฐมนตรีได้เคยพูดถึงประเด็นนี้ด้วยซ้ำไป ในการประชุมครม.ว่าจากนี้ไปในเรื่องของการประชาสัมพันธ์เราจะใช้สื่อช่องทางเดิมคงจะไม่ได้ คงจะต้องดูในเรื่องของแพลตฟอร์มอื่นๆมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของสื่อที่เกี่ยวข้องกับออนไลน์ต่างๆมากขึ้นถึงขนาดที่เรียกว่าอาจจะเป็นนโยบายคร่าวๆว่าอย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ของสื่อที่ออกไปจะต้องออกไปในส่วนของที่เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่วนจะเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างไรบ้างก็คงจะเป็นเรื่องของรายละเอียด

แต่อย่างน้อยที่สุดคงไม่ได้มุ่งเน้นทางด้านสื่อที่เราเคยคุ้นเคยกันอยู่ แต่ให้มีเนื้อหาสาระที่ออกไปในแพลตฟอร์ม ที่คิดว่าสัก 50 เปอร์เซ็นต์ไปในส่วนของออนไลน์ ตรงนี้ก็เป็นแนวทางในเบื้องต้น เพราะฉะนั้นแพลตฟอร์มออนไลน์ก็จะให้ความสำคัญมากขึ้น จากนั้นเราก็จะไปดูว่า ส่วนใหญ่แล้วกลุ่มไหนจะได้รับเรื่องของสื่อที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์ม แบบไหน อย่างไรก็จะเป็นแนวทางอีกแนวทางหนึ่งที่เราจะต้องเข้าไปปรับเพิ่มเติมจากนี้ไปด้วย

-โฆษกฯเองมีช่องทางอื่นในการสื่อสารส่วนตัวด้วย

ตอนนี้ผมก็มีทั้ง Facebook ทั้ง YouTube และ Twitter ในส่วนของ YouTube จะใช้ชื่อช่อง “คุยนอกเวลากับอนุชา บูรพชัยศรี” รูปแบบจะเป็นการอธิบายข่าว ยกตัวอย่างเช่นถ้าเกิดสมมุติว่าเราพูดถึงเรื่องของนโยบาย 30 แอด 30 ในการพูดถึงข่าวตรงนี้เราก็จะไม่ลงลึกรายละเอียดว่ามันคืออะไรแต่ว่าพอไปดูที่ YouTube จะมีรายละเอียดมากขึ้นว่านโยบาย 30 แอด30 คือการที่เราจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าน้อย 30% ภายในปี 2030 คิดว่าจะทำให้ประชาชนได้เข้าใจถึงนโยบายของรัฐบาลมากขึ้น

ส่วนเรื่องของ Twitter ก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่อาจจะดำเนินการได้รวดเร็วในสถานการณ์ต่างๆส่วนเรื่องของ Facebook จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประชุมต่างๆ มีข้อสรุปอย่างไร หรือความเคลื่อนไหวถึงภารกิจของท่านนายกรัฐมนตรี หรือในอนาคตจะเป็นเรื่องของครม.ต่างๆที่เกี่ยวข้องการลงพื้นที่ทั้งหมด จะมีช่องทางประมาณนี้ นอกเหนือจากนั้นก็จะเดินสายให้สัมภาษณ์ ผ่านสื่อต่างๆ  เพื่อเป็นช่องทางให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารให้มากที่สุด